photo Scotch LeffUp 01.png
เมื่อช่วงกลางเดือนที่ผ่านมา ทาง Scotch ได้ส่งผลิตภัณฑ์ตัวใหม่ล่าสุดของเขา Scotch Collagen-LeffUp มาให้ถึงที่บ้าน ซึ่งผลิตภัณฑ์ตัวนี้เขาเน้นกลุ่มคนที่เริ่มมีความกังวลเรื่องริ้วรอยเป็นหลัก (คือจะบอกว่าเราแก่แล้ว เราควรลองกินนะ รึเปล่า???)

ส่วนตัวปูเป้เคยกิน Scotch Aora ซึ่งเราชอบมากเลยนะ แต่ว่าตัวใหม่นี้มันต่างไป ส่วนประกอบหลัก ๆ ในนี้ก็มีอยู่ 3 อย่างด้วยกัน ได้แก่ คอลลาเจน กับโคเอนไซม์ Q10 แล้วก็สารสกัดจากซีบัคธอร์น ซึ่งปูเป้ไปหาข้อมูลมาให้เกี่ยวกับส่วนผสมหลักสามชนิดที่ว่านี้

 photo Collagen.jpg


ประเด็นเรื่องคอลลาเจนที่รับประทานเข้าไปมีผลอะไรกับผิวหนังนั้น ถ้ายังจำกันได้ปูเป้ก็เคยทำบทความเอาไว้แล้วล่ะ แต่เนื้อหาโดยรวมที่สรุปเนื้อหาจากบทความ Effect of Marine Collagen Peptide on Skin Condition โดย Kenji Sato and Yasutaka Shigemura จากหนังสือ Marine Cosmeceuticals: Trends and Prospects ซึ่งตีพิมพ์ออกมาในเดือน ธันวาคม ปี 2011 ที่ผ่านมา เขาบอกไว้ว่า คอลลาเจนเปปไทด์ที่สกัดได้จากปลาทะเลในรูปแบบรับประทานอาจส่งผลกับการทำงานของ Fibroblasts ทำให้มีการเพิ่มขึ้นของ Extracellular Components ซึ่งรวมถึง Collagen และ Hyaluronic Acid แต่ยังไม่ทราบถึงกลไกการทำงาน

การรับประทานคอลลาเจนเปปไทด์จากปลาทะเลที่ทำการศึกษานั้นอยู่ที่ 5,000 – 10,000 มิลลิกรัม โดยกลุ่มทดสอบที่มีอายุตั้งแต่ 30 ปีเป็นต้นไป จะเห็นความเปลี่ยนแปลงเรื่องความชุ่มชื้นและความนุ่มของผิวได้มากกว่ากลุ่มอายุที่น้อยกว่า 30 ปี ซึ่งไม่เห็นความเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจนเมื่อมองในเชิงสถิติ

ส่วนตัวปูเป้กินคอลลาเจนเปปไทด์จากปลาทะเลมาได้สามปีกว่า ๆ แล้วล่ะ โดยกินวันละ 5,000 มิลลิกรัม บางทีก็กินไปถึง 10,000 ก็มี แต่จะไม่กินมากกว่านี้แล้วเพราะมองว่าการศึกษามันทำมาแค่นี้ก็กินแค่นี้พอ โดยส่วนตัวพอใจกับผลที่ได้ของการกินคอลลาเจนเปปไทด์จากปลาทะเลนะ ผิวมันจะนุ่มและชุ่มชื้นมากขึ้น ผิวหน้าจะไม่ค่อยค่อยรู้สึกหรอก (เพราะทาเยอะ) แต่ผิวตัวจะรู้สึกได้ชัด (เพราะเราบำรุงผิวตัวน้อยกว่าผิวหน้า) แต่กว่าจะรู้สึกได้ก็ไม่ใช่กินแค่3 วัน 7 วัน นะจ๊ะ ต้องกินติดต่อกันเกือบเดือนขึ้นไปเลยล่ะ

ที่เน้นว่าต้องเป็นคอลลาเจนเปปไทด์จากปลาทะเล เพราะว่าผลิตภัณฑ์คอลลาเจนนั้นสามารถสกัดจากพวก หมู วัว หรือไก่ก็ได้ ซึ่งมีราคาถูกกว่า แต่ว่าโครงสร้างคอลลาเจนจากสัวต์เหล่านี้จะถูกย่อยและตแกตัวได้ยากกว่าคอลลาเจนเปปไทด์จากปลาทะเล ทำให้การดูดซึมจึงได้ไม่ดีเท่านั่นเอง

(เนื่องจากคอลลาเจนเปปไทด์จากปลาทะเลนั้นแพงกว่า ผู้ผลิตที่ใช้คอลลาเจนเปปไทด์จากปลาทะเลมักจะนำมาเป็นจุดขายโดยการระบุที่ชัดเจนว่าเป็นคอลลาเจนจากปลาทะเลน้ำลึก บลา ๆ ๆ อะไรก็ว่ากันไป แต่หากผลิตภัณฑืที่มีส่วนผสมแต่ไม่ระบุว่ามาจากแหล่งใดก็มีความเป็นไปได้ว่าอาจจะเป็นคอลลาเจนที่ได้จากหมู วัว ไก่ก็ได้)

 photo Ubiquinol structure.png




ตัวที่สองคือ Coenzyme Q10 หรือUbiquinone ซึ่งเป็นโคเอนไซม์ที่จำเป็นมากในการทำงานของเซลล์เพื่อผลิตพลังงานและเป็นสารแอนติออกซิแดนท์ด้วย ซึ่งเจ้า CoQ10 ในเซลล์มันก็จะลดน้อยลงไปตามวัยที่มากขึ้น รวมไปถึงการเป็นโรคบางชนิดด้วย เรื่องที่ดีคือเราสามารถเพิ่มปริมาณของเจ้าโคเอนไซม์ที่สำคัญนี้เข้าสู่ร่างกายได้จากสิ่งที่เรากินเข้าไปโดยจะเก็บสะสมเอาไว้ตามเซลล์ไขมันในร่างกายได้ โดยอาหารที่เป็นแหล่งของ CoQ10 ก็คือปลาที่มีไขมันเยอะอย่างปลาแซลมอน ในตับของสัตว์ และในธัญพืชที่ไม่ขัดสี พูดง่าย ๆคือถ้าเรากินอาหารดีครบหมวดหมู่เราจะไม่ขาดหรอก แต่ถ้าใครที่ไม่มั่นใจว่าจะกินอาหารได้ครบหมวดหมู่ตามแบบของอุดมคติ จะรับประทานเป็นอาหารเสริมก็ไม่ผิดแต่อย่างใด โดยโดสที่แนะนำกันก็มีตั้งแต่ 30 มิลิกรัมขึ้นไป การกินเพื่อเป็นแอนติออกซิแดนท์จะอยู่ที่ 60 – 100 มิลลิกรัม

การศึกษาที่ทำในประเทศไทยโดย มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ เมื่อปี 2009 ผสม Coenzyme Q10 เข้ากับสารแอนติออกซิแดนท์อื่น ๆ กับแร่ธาตุและ Glycosaminoglycans เป็นระยะเวลา 12 สัปดาห์พบว่าริ้วรอยเล้ก ๆ และความหยาบกร้านของผิวดีขึ้น แต่ก็ยากที่จะสรุปว่านี่เป็นผลที่ได้จาก Coenzyme Q10 เป็นหลักรึเปล่า
 แต่อย่างไรก็ดีการกิน Coenzyme Q10 ก็มีประโยชน์ในแง่ของสุขภาพอื่น ๆ ด้วย

(Source : Coenzyme Q10, 
The combined use of oral and topical lipophilic antioxidants increases their levels both in sebum and stratum corneum., An oral nutraceutical containing antioxidants, minerals and glycosaminoglycans improves skin roughness and fine wrinkles.)

 photo Sea Buckthorn.png
ส่วนผสมที่เขาชูเป็นจุดขายหลักในครั้งนี้ก็คือสารสกัดจาก Sea Buckthorn หรือ Hippophae Rhamnoides ซึ่งเป็นพืชยืนต้นที่อยู่กระจายในยุโรปและเอเชียตอนบน สามารถทนความความแห้งแล้งได้เป็นอย่างดี ผลจากต้น Sea Buckthorn มีสีเหลืองส้มสดใส สามารถกินได้และถูกนำมาเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมอาหารของคนแถบนั้นมานานแล้ว

ผลของ Sea Buckthorn มีคุณค่าทางอาหารสูง มีวิตามินซีมากกว่าส้มถึง 15 เท่า และยังประกอบไปด้วยวิตามินอีกหลายชนิด กับกรดอะมิโน รวมไปถึงสารกลุ่มฟลาโวนอยด์ แคโรทีนอยด์ โพลีฟีนอล และไลโคปีน เป็นหนึ่งในผลไม้ที่ได้รับความสนใจเป็นอย่างสูงในแถบอเมริกาและยุโรปเนื่องจากมีคุณสมบัติเป็นแอนติออกซิแดนท์ที่สูงมากจนถูกเรียกว่าเป็นหนึ่งใน Super Fruit เลยทีเดียว ทำให้มีการนำมาใช้ในวงการความงามกันอย่างแพร่หลาย เช่นเป็นผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร รวมไปถึงมีการนำน้ำมันสกัดและสารสกัดจาก Sea Buckthorn มาใช้เป็นส่วนผสมในผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางบำรุงผิวอีกด้วย

ทว่าการศึกษาผลของการรับประทาน Sea Buckthorn เพื่อความงามของผิวนั้นมีอยู่ไม่มาก ส่วนตัวปูเป้หาเจออยู่อันเดียวคือเขาบอกว่าการรับประทานผลิตภัณฑ์ที่ผสมคอลลาเจนกับสารสกัดของ Sea Buckthorn และ Bluberry จะช่วยลดผลกระทบของรังสี UV ที่ทำให้เกิดริ้วรอยได้ แถมยังลดการแสงออกของ MMP-1 และ MMP-9 (เอนไซม์ที่ทำหน้าที่สลายโครงสร้างโปรตีน ซึ่งในที่นี้คือพวกคอลลาเจนในผิว) และเพิ่มการทำงานของ Superoxide Dismutase ซึ่งเป็นเอนไซม์ที่เป็นแอนติออกซิแดนท์ของเซลล์ตามธรรมชาติอีกด้วย แต่การศึกษานี้ทำในสัตว์ทดลอง ทำให้โดยรวมแล้วเราก็ยังไม่มีข้อมูลที่แน่ชัดเท่าไหร่ว่ามันกินกับคนแล้วจะได้ผลขนาดไหน แต่ด้วยคุณค่าทางอาหารและสารประกอบที่มีคุณค่าใน Sea Buckthorn นั้นมีมากมาย ในอนาคตคงมีการศึกษาใหม่ ๆที่ทำให้เราได้รู้ถึงศักยภาพที่ผลไม้สีส้มนี้สามารถทำได้มากขึ้น

(Source : Remedial Prospective of Hippophae rhamnoides Linn. (Sea Buckthorn), UV radiation-induced skin aging in hairless mice is effectively prevented by oral intake of sea buckthorn (Hippophae rhamnoides L.) fruit blend for 6 weeks through MMP suppression and increase of SOD activity.)

 photo Scotch LeffUp 02.png
ผลิตภัณฑ์ Scotch Collagen-LeffUp มีส่วนประกอบของ Marine Collagen Peptide 5,000 มิลลิกรัม กับ Nano Coenzyme Q10 29 มิลลิกรัม และสารสกัดจาก Sea Buckthorn 0.11% (ไม่ได้ระบุตัวเลขมิลลิกรัมที่แน่นอนมาให้) นอกนั้นก็มีส่วนผสมของวิตามินต่าง ๆ ในปริมาณที่อยู่ในกรอบของการเป็นผลิตภัณฑ์อาหาร

 photo Scotch LeffUp 03.png
ตัวเบสทำจากน้ำองุ่นขาว และ อะเซโรล่าเชอรี่ แต่งรสหวานด้วยไซลิทอล หนึ่งขวดให้พลังงานเพียง 40 กิโลแคลลอรี่ สนนราคาอยู่ที่ขวดละ 48 บาท หรือแพ็ค 6 ขวด ราคา 275 บาท วางจำหน่ายแล้วที่ซุปเปอร์มาร์เก็ตชั้นนำ หรือร้าน Scotch Healthy Gift Shop ตามสถานีรถไฟฟ้า BTS

 photo Scotch LeffUp 04.png
นี่ก็คือรายละเอียดทั้งหมดของ Scotch Collagen-LeffUp ใหม่ล่าสุด กับข้อมูลที่ปูเป้หามาฝากให้อ่านกัน ก็หวังจะเป็นประโยชน์ไม่มากก็น้อยนะฮะ ส่วนกินแล้วได้ผลยังไงอันนี้ไม่รู้เหมือนกันเพราะว่าพึ่งได้ลองกินไปไม่เท่าไหร่ แต่รสชาติหวานน้อย ไม่คาว ดื่มง่าย และให้แคลอรี่น้อย เหมาะกับคนที่อยากกินคอลลาเจนแบบง่าย ๆ แค่บิดขวดแล้วดื่มโดยไม่เพิ่มแคลอรี่ให้กับร่างกายมากจนเกินไป