photo IGScreenAora.png
เมื่อปลายเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ทาง Scotch ได้ส่งผลิตภัณฑ์ตัวใหม่มาให้ ตอนแรกรู้แค่ว่าเป็นเครื่องดื่มผสมคอลลาเจนตัวใหม่ก็ไม่ได้สนใจเพราะว่าเคยทำข้อมูลเรื่องคอลลาเจนไปแล้ว แต่พอทางทีมงานแจ้งว่ามีสารสกัดจากเปลือกสนฝรั่งเศสด้วยก็รีบตกลงและรับของมาลองดื่มดูทันที สงสัยแล้วใช่ไหมว่าทำไมเจ้าสารสกัดจากเปลือกสนที่ว่านี้ถึงทำให้ปูเป้สนใจขึ้นมาได้

สารสกัดจากเปลือกสนฝรั่งเศสนั้นหลายคนน่าจะเคยได้ยินผ่านหูกันมาบ้าง สารสกัดนี้มาจากเปลือกของต้น French Maritime Pine ซึ่งสกัดให้มีความบริสุทธิ์สูงโดยมีสารประกอบของ Procyanidin ซึ่งเป็นสารแอนติออกซิแดนท์ที่มีประสิทธิภาพสูงเข้มข้นอยู่ถึง 70% ต่อน้ำหนัก โดยใช้ชื่อทางการค้าว่า Pycnogenol® ถูกนำมาใช้ทั้งผลิตภัณฑ์เสริมอาหารและผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางบำรุงผิว และมีการศึกษามากว่า 40 ปี

จริง ๆ แล้ว Pycnogenol ก็เหมือนกับสารสกัดชนิดอื่น ๆ ที่ผู้ผลิตสารนั้นพยายามทำการศึกษาเพื่อให้เห็นคุณสมบัติ สรรพคุณในแง่ของการบำรุงสุขภาพมากมายตั้งแต่สากกระเบือยันเรือรบ ถึงแม้ว่าการศึกษาที่ได้รับการสนับสนุนบางชิ้นก็ดูอ่อนในแง่ของความน่าเชื่อถือ แต่ก็มีหลายส่วนที่ทางเวปไซต์ MedicinePlus ซึ่งเป็นหน่วยงานรัฐบาลของอเมริกาที่ให้ข้อมูลว่า Pycnogenol มีความเป็นไปได้ที่จะช่วยลดปัญหาความดันโลหิตสูง เพิ่มการไหลเวียน เพิ่มสมรรถภาพของนักกีฬา ช่วยให้การมองเห็นดีขึ้น และลดโอกาสการเกิดภูมิแพ้

 photo PineBark.png
ในแง่ของการบำรุงผิว Pycnogenol นั้นถูกใช้เป็นทั้งผลิตภัณฑ์เสริมอาหารในรูปแบบรับประทาน และรวมถึงการผสมลงในครีมเพื่อบำรุงผิว ในที่นี้ปูเป้คงจะขอพูดถึงเฉพาะข้อมูลในส่วนของการรับประทานดีกว่า

มีการศึกษาว่า Pycnogenol ช่วยเรื่องปัญหาจุดด่างดำและคุณภาพของผิวโดยรวมเอาไว้อยู่บ้าง โดยการศึกษาในประเทศจีนเมื่อปี 2002 พบว่า Pycnogenol นอกจากจะมีประสิทธิภาพในการต้านอนุมูลอิสระมากกว่าวิตามิน C และ E แล้ว ยังช่วยรีไซเคิลวิตามินที่ว่านี้ให้กลับมาทำงานได้ใหม่ด้วย การทดสอบกับผู้หญิงที่มีปัญหาฝ้า 30 คน โดยใช้สารสกัด Pycnogenol 75 มิลลกรัม (แบ่งทาน 3 มื้อ) พบว่าร่องรอยของฝ้านั้นจางลงโดยไม่มีผลข้างเคียง สารสกัดจากเปลือกสน Pycnogenol ยังมีข้อมูลที่ทำเอาไว้นานแล้วว่าช่วยทำให้ผิวทนต่อการทำร้ายจากแสงแดดได้ โดยการศึกษานี้ใช้สารสกัด 1.10 – 1.66 มิลลิกรัม ต่อน้ำหนัก 1 กิโลกรัม เป็นระยะเวลา 8 สัปดาห์

ในแง่ของคุณภาพผิว การศึกษาเมื่อปี 2012 นั้นช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นและความชุ่มชื้นให้กับผิวพรรณได้ โดยการทดสอบทำกับหญิงวัยหมดประจำเดือนจำนวน 20 คนเป็นเวลา 12 สัปดาห์ โดยพบว่ามีการเพิ่มขึ้นในการแสดงออกของยีนที่ผลิต Collagen Type I และ Hyaluronic Acid ซึ่งเป็นส่วนสำคัญใน Extracellular Matrix ที่ทำให้ผิวแน่นขึ้น(Collagen) และมีความเด้งหยุ่นชุ่มชื้น (Hyaluronic Acid) ซึ่งโครงสร้างสองส่วนนี้มีผลต่อการสะท้อนของแสงที่ตกกระทบเข้ามาของผิว ถ้ามีคอลลาเจนที่ดี ไม่เหลืองเพราะถูกทำร้าย โครงสร้างผิวแน่น ก็ทำให้ผิวดูมีความใสนั่นเอง

การศึกษาชิ้นหนึ่งทำขึ้นโดยผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่มี Pycnogenol ผสมกับวิตามิน C และ E กับกรดอะมิโน แร่ธาตุบางชนิด พบว่าความยืดหยุ่นของกลุ่มทดสอบดีขึ้นกว่า 9% และความเรียบเนียนของผิวมีมากขึ้น 6% เมื่อเทียบกับกลุ่มทดสอบที่ใช้ยาหลอก

โดยรวมปูเป้มองว่าสารสกัดจากเปลือกสนฝรังเศส หรือ Pycnogenol นี้ดูน่าลงทุนที่จะลองรับประทานดูเพราะอย่างน้อยก็มีการศึกษามาอ้างอิง

(Source : Pycnogenol® in Oral Skin Care, Treatment of melasma with Pycnogenol., Solar ultraviolet-induced erythema in human skin and nuclear factor-kappa-B-dependent gene expression in keratinocytes are modulated by a French maritime pine bark extract., Pycnogenol® effects on skin elasticity and hydration coincide with increased gene expressions of collagen type I and hyaluronic acid synthase in women., Supplementation with Evelle improves skin smoothness and elasticity in a double-blind, placebo-controlled study with 62 women.)

 photo BRANDISStudy01.jpg
สำหรับประเด็นเรื่องคอลลาเจนที่รับประทานเข้าไปมีผลอะไรกับผิวหนังหรือไม่ ปูเป้เคยทำบทความเอาไว้ซึ่งสามารถย้อนกลับไปอ่านได้ (ย้อนกลับไปหาอ่านกันดูได้) โดยการสรุปเนื้อหาจากบทความ Effect of Marine Collagen Peptide on Skin Condition โดย Kenji Sato and Yasutaka Shigemura จากหนังสือ Marine Cosmeceuticals: Trends and Prospects ซึ่งตีพิมพ์ออกมาในเดือน ธันวาคม ปี 2011 ที่ผ่านมา

โดยข้อมูลสรุปว่าคอลลาเจนในรูปแบบรับประทานอาจส่งผลกับการทำงานของ Fibroblasts ทำให้มีการเพิ่มขึ้นของ Extracellular Components ซึ่งรวมถึง Collagen และ Hyaluronic Acid แต่ยังไม่ทราบถึงกลไกการทำงาน การรับประมานคอลลาเจนที่ทำการศึกษานั้นอยู่ที่ 5,000 – 10,000 มิลลิกรัม โดยกลุ่มทดสอบที่มีอายุตั้งแต่ 30 ปีเป็นต้นไป จะเห็นความเปลี่ยนแปลงเรื่องความชุ่มชื้นและความนุ่มของผิวได้มากกว่ากลุ่มอายุที่น้อยกว่า 30 ปี ซึ่งไม่เห็นความเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจนเมื่อมองในเชิงสถิติ

 photo Aora01.jpg
เกริ่นมานาน ก็มาขอพูดถึงตัวผลิตภัณฑ์ Scotch Collagen-Aora (45ml / 48 THB) กันซะหน่อย

จริง ๆ แล้วเหตุผลหลักที่ปูเป้ยอมลองทานผลิตภัณฑ์ตัวนี้เพราะว่าสารสกัดจากเปลือกสนนี่แหล่ะ เพราะว่าเคยได้ยินมานานแล้ว สนใจมานานแล้ว แต่ว่าราคามันก็สูงจึงไม่ได้ซื้อมาลองทานดูสักที คราวนี้โอกาสดีมีคนให้ลองมาทานฟรี ๆ ก็รีบคว้าไว้

ข้อมูลที่ข้างกล่องไม่ได้ระบุปริมาณของสารสกัดจากเปลือกสนมาเป็นมิลลิกรัม (บอกแค่ว่ามี 0.08%) แต่จากการสอบถามข้อมูลก็ทราบว่า ผลิตภัณฑ์ Scotch Collagen-Aora ใส่สารสกัดจากเปลือกสนหรือ Pycnogenol มา 40 มิลลิกรัม และมีคอลลาเจน 5,000 มิลลิกรัม พร้อมกับวิตามิน A C E และ B รวม ในเบสน้ำองุ่นขาวและราสเบอรี่ ใช้ Xylitol เป็นสารให้ความหวาน เพื่อปรับรสชาติและกลิ่นสามารถทานได้ง่าย ๆ

 photo Aora03.jpg
จากความเห็นส่วนตัว ปริมาณของสารสกัดเปลือกสน 40 มิลลิกรัมก็ถือว่ากำลังเหมาะสม หรือถ้าอยากจะทานให้ถึงโดสก็ทานวันละ 2 ขวด จะได้ปริมาณ Pycnogenol ที่ 80 มิลลิกรัม ซึ่งใกล้เคียงกับการศึกษาซึ่งใช้ที่ 75 มิลลิกรัม (ข้อมูลจาก MedicinePlus ระบุว่าได้สูงสุดถึง 450 มิลลิกรัม ติดต่อกัน 6 เดือน) ส่วนคอลลาเจนก็จะได้ที่ 10,000 มิลิกรัมซึ่งก็เป็นขีดสูงสุดที่ใช้ในการศึกษา

ประสบการณ์ส่วนตัว ปูเป้มองว่ารสชาติทานง่ายดีและสะดวกมากเพราะไม่ต้องผสมชงน้ำหรือต้องดื่มน้ำตาม แค่บิดฝาดื่มก็จบแล้ว แอบโชว์โง่นิดนึงตรงที่เรารู้มาว่าคอลลาเจนควรทานตอนท้องว่าง ก็เลยทาน Scotch Collagen-Aora วันละ 1 ขวดในตอนตื่นนอนตอนเช้า แต่กลายเป็นว่าทางเจ้าของผลิตภัณฑ์แนะนำให้ทาน 3 ชั่วโมงหลังอาหารเย็นหรือก่อนนอนล่ะ เอาเป็นว่าใครที่สนใจอยากจะลองทานก็ทานเป็นตอนก่อนนอนละกัน (แต่ใครจะทานวันละ 2 ขวด ก็คือ 1 ขวด ก่อนนอน และ 1 ขวดหลังตื่นนอน)

 photo Aora02.jpg
จากการลองทานมา 15 วัน ปูเป้ไม่ได้เห็นความเปลี่ยนแปลงที่หวือหวามากมาย คือรู้สึกได้ว่าผิวดูอิ่มและใสขึ้นนิดหน่อย แต่ก็คิดว่าจะลองทานต่อไปเพื่อดูผลว่าท้ายที่สุดแล้วเจ้าสารสกัดจากเปลือกสน หรือ Pycnogenol จะช่วยเรื่องลดรอยแดงและรอยดำจากสิวที่ชอบแวะมาเยี่ยมเยียนเราบ่อย ๆ ได้ดีแค่ไหน

ความเห็นในแง่ของผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่ชี้จุดขายให้ผิวเด้งมีออร่า ปูเป้มองว่าการผสมสารสกัดจากเปลือกสน ดูมีเครดิตที่ดีและน่าเชื่อถือมากกว่าการใช้กลูต้าไธโอนที่ถึงแม้จะเป็นที่รู้จักกันมาก แต่ก็ไม่มีข้อมูลหรือการศึกษาที่มาช่วยอ้างอิงว่าว่าปริมาณ 250 mg ที่ อย. ปล่อยให้ใช้ในอาหารเสริมนั้นจะสามารถดูดซึมได้รึเปล่า และมีประโยชน์กับร่างกายอย่างไรบ้าง (นั่นหมายความว่า อะไรก็ตามที่โฆษณาว่ามีกลูต้าไธโอนเกิน 250 มิลลิกรัม ถือว่าผิดกฏหมายทั้งสิ้น)

สุดท้ายนี้ปูเป้มองว่า การรับประทานผลิตภัณฑ์เสริมอาหารเพื่อหวังผลในการบำรุงผิว เป็นเพียงแค่เสี้ยวส่วนหนึ่งเท่านั้น แต่การที่เราจะมีผิวสวย สุขภาพดี มีความใส เราต้องดูแลสุขภาพโดยรวม ทั้งการออกกำลังกาย การพักผ่อน การรับประทานอาหารให้ได้รับสารอาหารครบ ดื่มน้ำให้เพียงพอ นอกจากนี้ยังต้องใช้ผลิตภัณฑ์บำรงผิวชนิดทาที่ช่วยกันรังสี UV เป็นประจำทุกวัน เติมความชุ่มชื้นและเลือกผลิตภัณฑ์ที่อ่อนโยนกับผิวด้วย หากทำได้ทั้งหมดนี้ก็จะสามารถมีผิวที่ดีได้ ฟังดูยุ่งยากแต่ก็คงไม่ยากเกินพยายามเนอะ