พอดีว่าทาง POSITIF แบรนด์สกินแคร์และเมคอัพที่ผลิตจากญี่ปุ่น เขามีการทำผลิตภัณฑ์เสริมอาหารออกมาด้วยเพราะอยากให้แบรนด์ของตัวเองตรงคอนเซปต์สวยทั้งจากภายในและภายนอก เขาเลยส่งผลิตภัณฑ์ตัวใหม่ของเขามาให้ ซึ่งสารที่เขาใช้เอาจริง ๆ ก็เป็นสิ่งที่ปูเป้กินอยู่แล้วด้วยเป็นปกติหรือเคยกิน เลยคิดว่าจะมาพูดถึงผลิตภัณฑ์ของเขา พร้อมให้ข้อมูลเกี่ยวกับส่วนผสมเหล่านี้ และเหตุผลที่ปูเป้เลือกกินส่วนผสมตัวนั้น ๆ ไปด้วย เพราะนอกนอกจากเรื่องสกินแคร์บำรุงผิวแล้ว หนึ่งในคำถามที่มักจะถูกถามบ่อยๆ  คือปูเป้มีการกินอาหารเสริมอะไรบ้าง หรืออาหารเสริมตัวไหนกินเพื่อบำรุงผิว ทำข้อมูลคราวนี้ยิงครั้งเดียวได้นกหลายตัวไปเลย

กลุ่มผลิตภัณฑ์ Bi Hada Beautiful Skin (美肌サプリ) นั้นก็เป็นชื่อที่ตรงตัวอักษรคันจิของญี่ปุ่น โดย 美 (บิ) แปลว่า ความงาม ส่วนคำว่า 肌 (ฮาดะ) แปลว่าผิว แม้ว่าชาวญี่ปุ่นจะขึ้นชื่อในเรื่องของการมีอาหารที่สด สะอาด ดีต่อสุขภาพเป็นหลัก แต่ด้วยไลฟ์สไตล์ยุคใหม่ของคนเมืองและวัฒนธรรมอาหารที่หลากหลาย แม้จะอร่อยดีต่อสุขภาพใจแต่ก็ไม่ได้แปลว่าจะดีต่อสุขภาพกายตามไปด้วย ทำให้ญี่ปุ่นเป็นหนึ่งในประเทศที่มีการเติบโตของอุตสาหกรรมอาหารเสริมเพื่อสุขภาพและความงามอย่างมาก และสินค้าในกลุ่ม Bi Hada Beautiful Skin ของ POSITIF ก็ผลิตในประเทศญี่ปุ่น

ก่อนอื่นต้องบอกว่ามุมมองของปูเป้ที่มีต่อผลิตภัณฑ์อาหารเสริมนั้นจะเป็นอะไรกลาง ๆ คือไม่ได้คิดว่ามันขาดไม่ได้ หรือจะแอนตี้บอกว่าไม่จำเป็น คือคิดว่าถ้าไม่ได้เดือดร้อน และเลือกตัวที่ดูน่าเชื่อถือ ศึกษาหาข้อมูล และคาดหวังในอะไรที่มันมีข้อมูลจับต้องได้ และไม่คาดหวังอะไรเกินเลย มันคืออะไรที่เราเสริมเข้าไปจากสิ่งที่เราควรทำเป็นหลัก ไม่ได้ทดแทนการกินอาหารที่ดี การออกกำลังกาย การพักผ่อนที่มีคุณภาพ และการใช้สกินแคร์ที่เหมาะกับสภาพผิวได้ ดังนั้นการกินอาหารเสริมของปูเป้นั้นจะเลือกเพื่อเสริมส่วนที่ตัวเองขาด เสริมเรื่องสุขภาพ เสริมการออกกำลังกาย เรื่องการขับถ่าย จะมีแค่บางตัวเท่านั้นที่จะกินเพื่อหวังผลเรื่องผิวจริง ๆ และก็จะปรึกษากับรุ่นน้องกับเพื่อนที่เรียนด้าน Anti-Aging  หรือพวก Nutrition กับการออกกำลังกาย มาเสริมไปกับการหาข้อมูลด้วยตัวเอง

จึงขอออกตัวไว้ก่อนว่าไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญเรื่องนี้ แต่ข้อมูลที่นำมาให้นี้คือมีพื้นมาจากสิ่งที่เคยกินอยู่แล้ว และจากคำแนะนำที่เราไปขอคำปรึกษามาอีกที และจะมีอ้างอิงของข้อมูลให้ หากมีข้อมูลที่ขาดตกบกพร่องอะไรสามารถมาแชร์ข้อมูลกันได้ ซึ่งในบรรดาผลิตภัณฑ์ใหม่ 3 ชิ้นเราขอไล่จากสิ่งที่เราคิดว่าน่าสนใจมากที่สุดก่อน เริ่มจาก….



ตัวแรกคือ Positif : Lycopene  กล่องสีแดงส้มเป็นซอฟท์เจลที่บรรจุสารสกัดจากมะเขือเทศ (จากญี่ปุ่น) 100 มิลลิกรัม ซึ่งมีสัดส่วนของ  Lycopene 6%  ดังนั้นในหนึ่งเม็ดจึงมี Lycopene 6 มิลลิกรัม (ส่วนที่เหลือ 94 มิลลิกรัม ก็น่าจะเป็นพวกสารอาหารในมะเขือเทศแหล่ะ ซึ่งก็ไม่บอกว่ามีอะไรอยู่บ้าง) และก็มีวิตามินอีในรูป Tocotrienol 10 มิลลิกรัม ซึ่งแนะนำให้กินวันละ 1 เม็ดหลังอาหาร คำเคลมจากทางแบรนด์ระบุไว้ว่าเป็น “Double Aura Booster ในหนึ่งแคปซูลทียบเท่ามะเขือเทศ 33 ผล ช่วยให้ผิวกระจ่างใสมีออร่า เสริมสร้างผิวหน้าให้แข็งแรงจากรังสี UV”

Lycopene เป็นสารกลุ่มแคโรทีนอยด์ที่มีประโยชน์ และมีมากในมะเขือเทศที่ผ่านความร้อน หลายคนน่าจะคุ้นเคยกับกระแสน้ำมะเขือเทศเพื่อผิวสวยกันไม่มากก็น้อย ซึ่งเราก็เป็นหนึ่งคนที่พยายามจะกินน้ำมะเขือเทศเพราะเป็นแหล่งของไลโคปีนราคาเข้าถึงง่าย แถมในน้ำมะเขือเทศก็มีไลโคปีนสูงมาก แต่เราเป็นคนที่ไม่กินมะเขือเทศไม่ว่าจะดิบหรือสุก (แต่กินซอสมะเขือเทศได้) และผลการทดลองกินน้ำมะเขือเทศคืออ้วกพุ่ง ทางเลือกในการเอา Lycopene เข้าร่างกายก็คงเป็นอาหารเสริมแหล่ะ (มะละกอสุกเราก็ไม่กิน เพราะไม่ชอบผลไม้เนื้อนิ่ม ๆ แตงโมก็ชอบแต่กินทุกวันคงเบาหวานถามหา)

ในแง่ของผิวนั้น Lycopene มีอยู่ในผิวและในพลาสม่าในปริมาณที่เทียบเท่าหรือมากกว่าเบต้าแคโรทีน ซึ่งเมื่อผิวของเราโดนรังสี  UV จากแสงแดดทำร้าย ปริมาณ Lycopene ในผิวก็จะลดลงซึ่งแสดงให้เห็นว่าสารตัวนี้เป็นส่วนหนึ่งในการช่วยปกป้องผิวนั่นเอง มีการศึกษาที่พบว่าอาหารที่อุดมไปด้วยไลโคปีนช่วยการแดงของผิว (Erythema) จากการการถูกทำร้ายของแสงแดดได้

ข้อมูลที่น่าสนใจคือ Lycopene จะดูดซึมเข้าสู่ร่างกายก็มีตัวแปรสำคัญที่ต้องคำนึง เนื่องจาก Lycopene ละลายในน้ำมัน และการ Lycopene คู่กับอาหารที่มีไขมันจะตรวจพบการดูดซึมที่ดีกว่า และการศึกษาที่ให้กลุ่มทดลองดื่มน้ำที่มี Lycopene 10 -120 มิลลิกรัม โดยในเครื่องดื่มมีสัดส่วนของไขมันคงที่ ก็ตรวจพบการดูดซึมของ Lycopene ตั้งแต่ 1.8 -14.3 มิลลิกรัม มีค่าเฉลี่ยที่  4.7 มิลลิกรัม ก็ชี้ว่าน่าจะเป็นที่ปัจจัยของแต่ละคนด้วย แต่ที่แน่ ๆ การกินอาหารเสริมที่มี Lycopene ควรจะกินกับมื้ออาหาร และอาหารมื้อนั้นควรมีไขมันอยู่ด้วย (หรือจะกินกับอาหารเสริมที่มี Omega3 เพราะเป็นตัวนำพาที่ดีมาก อันนี้รุ่นน้องบอกมา)

สำหรับโดสที่ได้ Lycopene 6 มิลลิกรัมนี้จะมากพอหวังผลอะไรได้บ้าง การศึกษาที่เราไปเจอมาตีพิมพ์เมื่อปี 2017 นี้เอง บอกว่ากลุ่มทดสอบที่กินสารสกัดจากมะเขือเทศที่มี Lycopene 5 มิลลิกรัม (และมีสารอาหารต่าง ๆในมะเขือเทศด้วย ซึ่งอาจมีผลต่อการดูดซึมและการทำงานของ Lycopene) เป็นเวลา 12 สัปดาห์ ช่วยลดผลกระทบจากรังสี UVA/UVB  ในแง่ของการยับยั้งการแสดงออกของเอนไซม์ที่ทำลายเส้นใยคอลลาเจนอย่าง MMP-1 ได้

(Source: Discovering the link between nutrition and skin agingAn Update on the Health Effects of Tomato LycopeneMolecular evidence that oral supplementation with lycopene or lutein protects human skin against ultraviolet radiation: results from a double-blinded, placebo-controlled, crossover study.)

Tocotrienols เป็นรูปแบบของวิตามินอีที่มีกระแสในช่วงไม่กี่ปีมานี้ เพราะมีประสิทธิภาพสูงกว่าวิตามินอีปกติ เรายังไม่เคยกินวิตามินตัวนี้ แต่เคยใช้สกินแคร์ที่มีส่วนผสมตัวนี้ ซึ่งก็ไม่ได้มาเดี่ยว ๆ เลยยังบอกไม่ได้ว่าในแง่ของเครื่องสำอางมันดีขนาดไหนหรือการกินแล้วเราจะหวังอะไรได้บ้าง แต่การอ่านข้อมูลรีวิวงานวิจัยก็ทำให้เห็นว่ามันสามารถที่จะดูดซึมเข้าไปสู่อวัยวะสำคัญของร่างกายได้ รวมถึงผิวหนังด้วย และช่วยต้านอนุมูลอิสระ ต้านการอักเสบ และลดผลกระทบจากรังสี UVB

(Source : Tocotrienols, the Vitamin E of the 21st Century: It’s Potential Against Cancer and Other Chronic DiseasesOral tocotrienols are transported to human tissues and delay the progression of the model for end-stage liver disease score in patients.Pharmacological potential of tocotrienols: a reviewDietary tocotrienol and UVB-induced skin damage)

 



Positif : Alpha Lipo Acid + CoQ10 อันนี้ไม่ค่อยเข้าใจนิด ๆ ว่าทำไมไม่เขียนชื่อไปเลยว่า Alpha Lipoic Acid ตามชื่อสารหลักในผลิตภัณฑ์ แต่ชื่อผลิตภัณฑ์ก็แบบนี้แหล่ะ แต่เอาเป็นว่าตัวนี้ในหนึ่งเม็ดจะประกอบไปด้วย  Alpha Lipoic Acid 50 มิลลิกรัม  กับ Coenzyme Q10 30 มิลลิกรัม และ Vitamin E Oil 14 มิลลิกรัม โดยทานวันละ 1 เม็ดหลังมื้ออาหาร คำเคลมจากทางแบรนด์ระบุไว้ว่า “Double Antioxidant ในหนึ่งเม็ดเทียบเท่าบลอคโคลี่ 32 ต้น ช่วยป้องกันและลดเลือนริ้วรอย รวมไปถึงการลดการอักเสบของสิว”

Alpha Lipo Acid กับ CoQ10 เป็นอาหารเสริมสองตัวที่ปูเป้เริ่มกินหลังช่วงกลับเข้าไปออกกำลังกายหลังจากที่ไปขอคำแนะนำจากรุ่นน้องที่มีความรู้ด้านอาหารเสริมและการออกกำลังกายด้วย สองตัวนี้กินคู่กันแล้วช่วยเรื่องเมตาบอลิซึม พลังงาน การรับกับความเครียด และช่วยรับมือกับอาการเหนื่อยล้าด้วย ซึ่งเหมาะกับการออกกำลังกายและรูปแบบการทำงานของเราทีเดียวล่ะ

Alpha Lipo Acid เป็นสิ่งที่ได้รับจากอาหาร เนื้อแดง บลอคโคลี่ ผักโขม ซึ่งถ้ากินดีอยู่ดีมีคนดูแลเรื่องโภชนาการก็น่าจะได้รับเพียงพออยู่แล้วในคนปกติที่ไม่ได้มีปัญหาเรื่องสุขภาพ หรือถ้าจะกินเพิ่มก็อยู่ที่ 50 – 100 มิลลิกรัมเพื่อเสริมในเรื่องการต้านอนุมูลอิสระ แต่ในการบำบัดหรือใช้กับคนที่เป็นเบาหวานหรืออะไรใช้ในโดสที่สูงกว่านี้มากมายเป็นสิบเท่า

สาร Alpha Lipo Acid เป็นแอนติออกซิแดนท์ที่ละลายได้ทั้งในน้ำและน้ำมัน เสริมการทำงานของวิตามินอื่นๆ  อย่างเช่นวิตามิน C และ E ให้กลับมาแอคทีฟใหม่ได้ และยังไปจับกับพวกสารโลหะหนักที่ไม่ดีกับร่างกาย รวมไปถึงการต้านการอักเสบด้วย จึงเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ทำงานได้กว้างและน่าสนใจเลยล่ะ

งานวิจัยที่เกี่ยวกับผิวหนังโดยตรงเป็นการใช้ Alpha Lipo Acid ผสมลงในครีมบำรุงผิวถึง 5%  ช่วยลดริ้วรอย ฟื้นฟูผิวที่มีปัญหา Photoageing ได้ แต่ก็มีการศึกษาที่ทำตามมาทีหลังที่ให้ข้อมูลว่า Alpha Lipo Acid 5% ที่ผสมลงในครีมนั้นไม่ได้ช่วยเสริมการปกป้องผิวจากความเสียหายของแสงแดด หรือ Photoprotection ดังนั้นมันจึงไม่ใช่แอนติออกซิแดนท์ที่ดีในการเอามาทาผิวเพื่อหวังการป้องกันแต่อาจจะช่วยเรื่องการฟื้นฟูปัญหาที่เกิดขึ้นแล้วได้

ส่วนงานวิจัยของ Alpha Lipo Acid ที่กินเพื่อหวังผลเรื่องผิวโดยตรงนั้นยังหาไม่เจอล่ะ คือมีงานวิจัยที่ผสม Alpha Lipo Acid ลงไปในวิตามินที่มีสารนู่นนี่ประกอบไปด้วยเต็มไปหมด เราจึงไม่สามารถบอกได้ว่าโดยลำพังมันจะให้ผลอะไรบ้าง และยังไม่มีข้อมูลการศึกษาว่า Alpha Lipo Acid จะช่วยลดการอักเสบของสิวได้ เป็นเพียงการตั้งสมมุติฐานว่าคุณสมบัติในการต้านอนุมูลอิสระที่ดี และการต้าน Inflammation น่าจะช่วยเรื่องสิวได้บ้าง แต่เมื่อไม่มีการศึกษาเราก็ไม่มีข้อมูลเรื่องโดสที่แนะนำในการจะหวังผลในส่วนนี้ มันอาจจะช่วยได้หรืออาจะไม่ได้ช่วยอะไรก็ได้ เราแค่ไม่มีข้อมูลน่ะ

(Source : A combination of lipoic acid plus coenzyme Q10 induces PGC1α, a master switch of energy metabolism, improves stress response, and increases cellular glutathione levels in cultured C2C12 skeletal muscle cells.Alpha-lipoic acid as a dietary supplement: Molecular mechanisms and therapeutic potentialTopical 5% alpha lipoic acid cream in the treatment of cutaneous rhytidsRandomized, placebo-controlled, double blind study on the clinical efficacy of a cream containing 5% alpha-lipoic acid related to photoageing of facial skin.α-Lipoic Acid Is Ineffective as a Topical Antioxidant for Photoprotection of SkinA randomized, double-blind, placebo-controlled study on the clinical efficacy of oral treatment with DermaVite on ageing symptoms of the skin.)

 

Coenzyme Q10 เป็นสารแอนติออกซิแดนท์ที่ละลายในน้ำมันและมีส่วนร่วมในกระบวนการผลิตพลังงานของเซลล์ นี่เป็นสารที่ได้รับการศึกษาค่อนข้างมากและถูกใช้ทั้งในอาหารเสริมเพื่อความงามและในเครื่องสำอางบำรุงผิวด้วยและมันน่าสนใจตรงที่การทาครีมที่มี Coenzyme Q10 สามารถเพิ่มปริมาณ Coenzyme Q10 ในผิวหนังได้ล่ะ ในส่วนของการกินนั้นก็มีข้อมูลใหม่ ๆ ที่ทดสอบการกิน Coenzyme Q10 ในปริมาณ 50 หรือ 150 มิลลิกรัมต่อวันเป็นเวลา 12 สัปดาห์ ให้ผลในเรื่องการลดเลือนริ้วรอยรอบดวงตาได้และในการกินโดสที่สูงจะพบว่าเห็นผลเรื่องริ้วรอยรอบปากและร่องแก้มมากกว่ากลุ่มที่กินโดสต่ำ  การศึกษานี้ระบุว่าการกิน Coenzyme Q10 ไม่ได้ช่วยเรื่องความชุ่มชื้นของผิว หรือช่วยปกป้องผิวจากแสงแดด คำแนะนำจาก Dr. Leslie Baumann แพทย์ผิวหนังที่ได้รับการยอมรับและเขียนตำราที่สายสกินทุกคนจะต้องเคยผ่านตาหรือมีในครอบครอง แนะนำว่าควรกิน Coenzyme Q10 ในตอนเช้า ส่วนปริมาณที่เธอแนะนำคือ 200 มิลลิกรัมต่อวัน

(Source : In search of supplements for skin agingThe effect of dietary intake of coenzyme Q10 on skin parameters and condition: Results of a randomised, placebo-controlled, double-blind studyTopical treatment with coenzyme Q10‐containing formulas improves skin’s Q10 level and provides antioxidative effects)

 


ตัวสุดท้ายคือ  Positif : Collagen เป็นคอลลาเจนในรูปแบบเม็ดโดยให้กินครั้งละ 3 เม็ดก่อนนอน ซึ่งในสามเม็ดจะได้ Collagen Peptide 900 มิลลิกรัม  เคลมว่ามาจากปลาทะเลน้ำลึก  Marine Collagen Peptide 34.8 มิลลิกรัม เคลมว่ามาจากหนังปลาแซลมอน และก็มี Vitamin C 9 มิลลิกรัม กับ Vitamin B2 0.4 มิลลิกรัม ทางแบรนด์ได้เคลมว่า “Double Collagen Complex ช่วยให้ผิวชุ่มชื่น ยืดหยุ่น” ซึ่งโดสการกินที่ทางแบรนด์แนะนำนี้ก็เคลมว่าได้คอลลาเจนเทียบเท่ากับแซลมอน 12 ตัว

คอลลาเจนเป็นสิ่งที่ปูเป้กินอยู่แล้วและกินมาหลายปี จะมีหยุดบ้างในช่วงที่กินเวย์โปรตีนเพื่อเสริมการออกกำลังกายในการสร้างกล้ามเนื้อ เพราะได้รับคำแนะนำว่าการได้รับโปรตีนมากไปไม่ดีกับไตของเราด้วยแหล่ะ จะว่าไปนี่คือสารที่มีการถกเถียงกันเยอะมากว่ากินไปไม่ได้อะไร หรือกินแล้วมีประโยชน์อะไรบ้าง ในฐานะของคนที่เคยต่อต้านและบอกว่าไม่มีประโยชน์ จนไปหาข้อมูล ลองกินดู และเห็นผลกับตัวเองจนกินต่อมาเรื่อย ๆ เราขอให้ข้อมูลเกี่ยวกับคอลลาเจนดังนี้

อาหารเสริมคอลลาเจนที่เรากินเนี่ย ก็ไม่มีข้อมูลอะไรว่ามันจะกินแล้วเข้าไปเสริมเป็นคอลลาเจนในผิวเราโดยตรง และสิ่งที่เรากินเข้าไปมันก็ไม่ได้เหลือเป็นสภาพของคอลลาเจนอยู่แล้วเพราะคอลลาเจนเสียสภาพได้ง่ายมาก สิ่งที่เรากินเข้าไปจริงๆ  คือเปปไทด์หรือบางทีก็ถูกย่อยจนเป็นกรดอะมิโนที่เป็นสารประกอบหลักของคอลลาเจนแล้วอย่างเช่น Glycine หรือ Proline หรือ Hydroxyproline เป็นที่เรียบร้อยแล้ว  ดังนั้นสิ่งที่เรากินเข้าไปจึงไม่ใช่คอลลาเจนแต่เป็นเศษชิ้นส่วนย่อย ๆ ของสิ่งที่เคยประกอบกันเป็นคอลลาเจนมากกว่า และก็ดูดซึมได้ง่ายกว่าการกินเนื้อเป็นชิ้น ๆ หรือหนังปลาเป็นแผ่น ๆ

การกินคอลลาเจนไปแล้วได้อะไร? ที่แน่ ๆ คอลลาเจนไม่ได้ช่วยให้ผิวขาวใส ไม่เคยมีข้อมูลอะไรที่บ่งชี้แบบนั้น แต่มีข้อมูลการศึกษาเกี่ยวกับการรับประทานคอลลาเจนเปปไทด์ จะไดเปปไทด์ ไตรเปปไทด์ จะมารีนไม่มารีนก็มีตีพิมพ์ออกมา แม้จะยังไม่ได้มีออกมาเยอะมากมายนัก แต่ก็ไม่ใช่ไม่มีเลยอย่างที่บางคนพูดกันเป็นแผ่นเสียงตกร่อง

Collagen Peptide / Marine Collagen Peptide

ปกติแล้วปูเป้จะกินมารีนคอลลาเจนเปปไทด์จากปลาทะเล เพราะคอลลาเจนที่กินส่วนใหญ่จะเป็นแบรนด์ที่มาจากญี่ปุ่น โดยกินโดสที่ 5,000 มิลลกรัม ถึง 10,000 มิลลิกรัมต่อวัน ซึ่งเป็นโดสที่ระบุไว้ในการศึกษาที่เคยอ่าน ซึ่งระบุว่าช่วยทำให้ผิวมีนุ่ม ชุ่มชื้นมากขึ้น และเราก็รู้สึกตามนั้นโดยเฉพาะกับผิวตัวที่เราก็ยอมรับว่าไม่ได้ดูแลดีเท่ากับผิวหน้า รู้สึกได้ว่าผิวกายมันมีความนุ่มนวลขึ้น แต่กว่าจะรู้สึกก็ต้องกินต่อเนื่องนานเป็นเดือนเลยล่ะ ในประเด็นของการกินคอลลาเจนกับ  Vitamin C การศึกษาที่เราว่าน่าสนใจก็คือการทดสอบกินคอลลาเจนเปปไทด์ 3,000 มิลลิกรัม เทียบกับ การกินยาหลอก การกินคอลลาเจนผสมวิตามินซี 500 มิลลิกรัม และการกินวิตามินซี 500 มิลลิกรัมอย่างเดียว แม้จะเป็นที่ทราบกันดีว่าวิตามินซีมีส่วนสำคัญในการฟอร์มตัวของเส้นใยคอลลาเจน แต่การศึกษานี้ทำให้เห็นว่าการกินวิตามินซี 500 มิลลิกรัม ซึ่งถือว่าเป็นโดสที่ไม่ได้สูงอะไรมากนั้น ไม่ได้มีผลเพิ่มเป็นพิเศษในแง่ของการเพิ่มความยืดหยุ่นและความชุ่มชื้นในการกินอาหารเสริมคอลลาเจน คือวิตามินซีสำคัญ แต่โดสในการกินที่ไม่สูงมากตามที่ทำการศึกษานั้นอาจจะไม่ได้มีผลในการเสริมประสิทธิภาพอย่างมีนัยสำคัญ

แต่อย่างที่บอกว่าคอลลาเจนที่ใส่ในผลิตภัณฑ์อาหารเสริมนั้นก็มาได้จากหลายแหล่ง และคอลลาเจนก็มี  Type หรือชนิดต่าง ๆ ซึ่งชนิดที่มีอยู่ในผิวมากที่สุดคือ Type I รองลงมาคือ Type III ดังนั้นแหล่งที่มาของคอลลาเจนก็มีผลเช่นกัน ซึ่งโดยส่วนมากแล้วเราจะนิยมคอลลาเจนจากปลา เพราะมีการศึกษาพูดถึงมากกว่า แต่ราคาก็จะแพงกว่า รองลงมาก็คงจะเป็นคอลลาเจนจากหมู

สำหรับเรา คอลลาเจนเปปไทด์พวกนี้ถ้ามีเงินกินก็กินได้ กินแล้วได้อะไรไหม? ถ้ากินตามโดสที่มีงานวิจัยและกินอย่างยาวนานพอ เราก็เห็นผลในแง่ของความชุ่มชื้นและความยืดหยุ่นของผิว แต่ถ้าอยากจะขาวหรือลดจุดด่างดำคอลลาเจนก็จะไม่ได้ช่วยอะไรในแง่นี้ ต้องไปมองหาสารสกัดตัวอื่นที่ให้ผลพวกนี้แทน และถ้าคุณมีความเชื่อหรือข้อจำกัดในแง่ของการกินอาหาร เช่นไม่กินหมู ไม่กินวัว คุณก็ต้องรู้ไว้หน่อยว่าคอลลาเจนที่คุณกินนี้เขาสกัดมาจากอะไร

(Source : Effects of collagen tripeptide supplement on skin properties: A prospective, randomized, controlled studyEffect of vitamin C and its derivatives on collagen synthesis and cross-linking by normal human fibroblasts.Effects of a nutritional supplement containing collagen peptides on skin elasticity, hydration and wrinkles[Effects of marine collagen peptide on delaying the skin aging].Oral supplementation of specific collagen peptides has beneficial effects on human skin physiology: a double-blind, placebo-controlled study.The effect of oral collagen peptide supplementation on skin moisture and the dermal collagen network: evidence from an ex vivo model and randomized, placebo-controlled clinical trials)

 


นั่นก็คือข้อมูลทั้งหมดที่ปูเป้มีและอยากที่จะแชร์ให้กับคนที่กำลังสนใจผลิตภัณฑ์อาหารเสริมที่มีส่วนผสมดังกล่าว ไม่ว่าจะเป็น  Lycopene เอย คอลลาเจนเอย  Q10 เอย รวมไปถึงเหตุผลที่ปูเป้เลือกกินส่วนผสมเหล่านี้อยู่แล้ว แต่สิ่งสำคัญที่ปูเป้อยากจะย้ำกับทุกคนที่จะพิจารณากินอาหารเสริมคือ ต้องเลือกแบรนด์ที่ไว้วางใจได้และน่าเชื่อถือ เราไม่มีทางรู้หรอกว่าสิ่งที่เรากินเข้าไป จะเป็นเม็ด เป็นผง มันมีอะไรผสมหรืออาจจะมีอะไรแอบใส่ลงไปหรือมีสารปนเปื้อนอะไรบ้าง ส่วนผสมที่ได้จากธรรมชาติยิ่งเป็นอะไรที่ต้องเลือกเพราะสามารถมีพวกโลหะหนักปลอมปนไปได้ นอกจากต้องมีความเข้าใจ หาข้อมูลถึงสิ่งที่คาดหวังได้ และของพวกนี้ไม่ได้แปลว่าเยอะแล้วจะดี และขึ้นชื่อว่าผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร คือมันเป็นแค่ตัวเสริม ตัวช่วย ที่ไม่สามารถทดแทนการนอนหลับที่เพียงพอ การออกกำลังกาย การกินอาหารที่อยู่บนพื้นของความพอดี รวมไปถึงการใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่ตรงกับสภาพผิว การปกป้องผิวจากแสงแดดเป็นประจำ และทำอย่างต่อเนื่อง

ข้อมูลเพิ่มเติมสำหรับเรื่องโดสของอาหารเสริม วิตามิน ที่ของที่ขายในไทยบางตัวจะไม่ได้เยอะเข้มข้นเท่าที่ขายในต่างประเทศอย่างญี่ปุ่นหรืออเมริกา นั่นเป็นเพราะข้อจำกัดของนิยามของ “ยา” และ “อาหาร” ที่ทำให้การใส่ส่วนผสมบางตัวได้มากสุดไม่เท่ากับที่ไปซื้อมาจากต่างประเทศ หรือส่วนผสมบางตัวใส่ไม่ได้เลยเพราะถูกทรีตเป็นยาในประเทศไทย แต่ในประเทศอื่นสารตัวนั้นอาจจะเป็นอาหารเสริมได้ อารมณ์ประมาณนี้แหล่ะ

สำหรับใครที่สนใจผลิตภัณฑ์ของ POSITIF ก็สามารถหาซื้อได้ง่าย ๆ ที่ร้าน Watsons  หรือทางเวปไซต์อย่างเป็นทางการของ POSITIF หรือหากจ้อการสอบถามข้อมูลหรือสถานที่จำหน่ายเพิ่มเติม ก็สามารถติดต่อสอบถามที่  Facebook : POSITIF Thailand และทาง LINE ID : @POSITIF

*Sponsored Products*

Positif : Lycopene
Size & Price : 15 Capsule (15Days) /  530 Baht)

Positif : Alpha Lipo Acid + CoQ10
Size & Price : 15 Capsule (15Days) /  370 Baht)

Positif : Collagen 
Size & Price : 45 Tablets (15Days) /  480 Baht)