หนึ่งในประเทศเพื่อนบ้านที่เราได้ยินคุ้นหูกันดีก็คือเวียดนาม ภาพของประเทศเวียดนามในมายาคติที่เราจำได้คือผู้หญิงใส่กี่เผ้าและคนขี่จักรยาน เราไม่เคยแวะไปประเทศนี้มาก่อนเลยจนกระทั่ง Jetstar ได้ชวนปูเป้ไปลองเยี่ยมเมืองฮานอยดูเป็นครั้งแรกในชีวิต
ทริปในครั้งเกิดขึ้นเนื่องจากทาง Jetstar อันเป็นสายการบินต้นทุนต่ำจากสิงคโปร์จะเปิดรูทบินตรงจาก กรุงเทพ – ฮานอย เราก็เลยมีนัดเดินทางกันที่สนามบินสุวรรณภูมิกันตอนเที่ยง ๆ (เราชอบตรงที่บินที่สุวรรณภูมิ เพราะว่าเรานั่ง BTS มาต่อ Airport Link ได้ สะดวกและถูกด้วย)
ทริปนี้ได้สิทธิ์ชวนเพื่อไปหนึ่งคน ก็เลยเอาพี่เก๋ oHLa ซึ่งเป็นทั้งบล็อกเกอร์และ ผจก ที่คอยดูแลปูเป้ไปด้วย
แน่นอนว่าสายการบินต้นทุนต่ำเราจะต้องซื้ออาหารเอง Jetstar มีอาหารร้อนให้เราเลือกตามนี้
การเดินทางใช้เวลาไม่ถึงสองชั่วโมงเราก็มาถึงยังสนามบินแห่งชาตินอยไบ (Noi Bai) โดยเรามาลงที่ Terminal 2 ซึ่งเป็นอาคารที่พึ่งสร้างเสร็จใหม่โดยทุนจากประเทศญี่ปุ่น สวยงามและดูดีทีเดียวล่ะ
เวียดนามเป็นประเทศที่มีการหลอมรวมทางวัฒนธรรมและสถาปัตยกรรมอยู่เหมือนกัน นอกจากพรมแดนของเวียดนามจะยาวจากบนสุดไปติดกับจีน มีชายของที่ลากยาวติดกับลาวและกัมพูชา เวียดนามยังเคยตกอยู่ภายใต้การปกครองของฝรั่งเศษอีกด้วย ทำให้ในเมืองฮานอยเราจะเห็นตึกที่เป็นสถาปัตยกรรมแบบตะวันตกหลงเหลืออยู่ค่อนข้างมากทีเดียว
ในเมืองฮานอยนั้น เราเห็นจักรยานน้อยมาก เห็นแต่จักรยานยน และรถยนต์ใหม่ ๆ เต็มไปหมด หลังจากการเปิดประเทศ ทำให้ความเจริญและกลุ่มทุนจากต่างชาติเข้ามาลงทุนกันขนาดใหญ่ เกาหลีเป็นหนึ่งประเทศที่มาลงทุนในเวียดนามเยอะมาก
ในขณะที่เมืองกำลังเปลี่ยนแปลงและขยับขยาย มีอยู่สิ่งหนึ่งที่ชาวเวียดนามหวงแหนก็คือต้นไม้ ที่นะจะมีการเก็บต้นไม้ใหญ่ๆ ไว้เยอะแยะเต็มไปหมดเลยล่ะ ทำให้ถนนหลาย ๆ สายของเมืองฮานอยร่มรื่นดีทีเดียว
อันนี้เป็นร้านอาหารที่จะเป็นมื้อแรกของเราในเวียดนาม ชื่ออะไรมไ่รู้อ่านไม่ออก ภาษาเวียดนามใช้ตัวอักษรภาษาอังกฤษที่มีขีดและเครื่องหมายประหลาดเต็มไปหมดเลย
อาหารของคนเวียดนามจะเน้นผักเยอะมาก ข้อดีคือผักที่นี่สด แต่คนไม่กินผักคงจะชอกช้ำพอดู อาหารหลักที่ต้องมีบนโต๊ะอาหารคือแกงจืดที่จืดจริงจัง
การจราจนในเมืองฮานอยนั้นค่อนข้างแออัดทีเดียว กว่าเราจะฝ่าเข้ามาถึงที่พักในคืนแรกก็เป็นเวลาดึกพอสมควร ก็เลยรีบอาบน้ำนอนก่อนที่จะต้องตื่นแต่เช้าเพื่อเดินทางไปยังโปรแกรมต่อไป (เราเลยไม่ได้มีรูปถ่ายตรงนี้ให้)
ระหว่างการเดินทางในตอนเช้าขณะที่เดินทางออกจากฮานอย สิ่งหนึ่งเราเห็นได้ตลอดทางคือผู้คนนิยมจะมานั่งกันบนเก้าอี้เตี้ย ๆ ล้อมโต๊ะเล้ก ๆ เพื่อดื่มน้ำชา พูดคุยกัน คือเป็นวัฒนธรรมอย่างหนึ่งที่เป็นมานานและยังคงอยู่ถึงทุกวันนี้
เราเดินทางมาถึงถูเขาเอียนตื๋อ หรือ Yen Tu ซึ่งเป็นแหล่งท่องเที่ยวและแสวงบุญของชาวเวียดนาม โดยบนยอดเขาจะมีวิหารทองแดง และเจดีย์อยู่
การขึ้นไปบนยอดเขานั้นต้องขึ้นโดยใช้กระเช้าลอยฟ้า และก้เดินเท้าขึ้นไปเรื่อยๆ โดยกระเช้าลอยฟ้าจะมีสองช่วงล่ะ โดยคราวที่ไปนี้เวลาเราไม่พอเลยไปได้แค่ช่วงเดียว แวะชมอารามกับเจดีย์นิดหน่อย
สถูป เจดีย์ อารามนั้นไม่ได้อลังการหรือสวยงามเอี่ยมอ่อง แต่ว่าบรรยากาศบนยอดเขานั้นสวยงาม อากาศเย็นสบายและบริสุทธิ์มาก ถ้าไม่ได้อินกับเรื่องศาสนาก็สามารถอินกับวิวและทิวทัศน์ได้
ระหว่างทางลงก็ไปเจอร้านที่เขาขายขนมหน้าตาแปลก ๆ ที่เขามีให้ชิม มันเป็นขนมแป้งเหนียว ๆ รสหวาน ๆ ข้างในมีถั่วผสมอยู่ล่ะ
อันนี้เป็นอาหารกลางวันตรงตีนเขาเอียนตื๋อ มีโปรตีนเยอะหน่อย แต่ผักก็ยังเยอะอยูดี (แน่นอนว่ามีแกงจืดผักตำลึงอีกเช่นกัน)
ระหว่างทางไปขึ้นรถเพื่อเดินทางต่อไปยังอ่าวฮาลอง หรือ Halong Bay ก้เห็นร้ายที่เอาพวกพืชป่า รากไม้ สมุนไพรมาขายกันเป็นล่ำเป็นสัน
หลังจากหลับมาในรถเป็นชั่วโมงเราก็ถึงอ่าวฮาลอง หรือ Halong Bay อันขึ้นชื่อเรื่องความงามอันเป็นเอกลักษณ์ สถานที่แห่งนี้ถูกจดให้เป็นมรดกโลกเรื่องทิวทัศน์ของเกาะหินปูนที่โผล่ขึ้นบนอ่าวจำนวนมาก และยังเป็นมรดกโลกในแง่ของความหลากหลายของธรรมชาติอีกด้วย
ถ้ำที่ขึ้นชื่อและเป็นแหล่งท่องเที่ยวของที่อ่าวนี้คือถ้ำเทียนกุง หรือ Thien Cung Grotto ซึ่งแปลว่าพระราชวังสวรรค์ ภายในมีหินงอกหินย้อยหลายรูปแบบ บ้างก็ดูเหมือนมังกร เหมือนสัตว์ต่าง ๆ
ภายในถ้ำไมไ่ด้ลึกมาก เดินทางเข้าไปง่าย มีการทำทางเดินที่เดินได้ไม่ลำบากนัก อากาศข้างในค่อนข้างเย็นสบาย
พอออกจากถ้ำเราก็จะเห็นวิวจากมุมสูงของเกาะที่เรานั่งเรือมา
หลังจากนั้นเราก็ล่องเรือตุ๊บป่องๆ ชมวิวพาโนรามาที่รอบตัวเป็นผืนน้ำและเกาะหินปูนรูปทรงแปลกตาและเขียวครึ้มไปด้วยต้นไม้ อากาศดีเว่ออออออออ วิวสวยมาก มากจนเราไม่มีปัญญาเก็บความสวยงามนั้นมาให้ชมได้เพราะฝีมือเราไม่ถึง 555
หลังจากพักผ่อนกันอย่างเต็มที่เราก็หลับมาตลอดทางเพื่อกลับมายังเมืองฮานอยอีกครั้ง ด้วยความที่เรามาช้าไปหน่อยเราเลยไมไ่ด้เข้าไปเคารพศพของนายพลโฮจิมิน ได้แค่ดูอยู่รอบ ๆ บริเวณที่เก็บศพและลานโดยรอบเท่านั้น
แม้ว่าเวียดนามจะเปิดกว้างสู่โลกภายนอกมาขึ้นแล้ว แต่หลายสิ่งหลายอย่างที่เราเห็นในเมืองนี้ก็ทำให้เรารำลึกได้ว่าที่นี่เป็นคอมมิวนิสต์ ไม่ว่าจะเป็นรุปปั้น ธงดาวแดงทีแขวนตามซุ้มและเสาไฟฟ้า
ด้วยความที่ฮานอยเดิมเป็นเมืองที่น้ำจะท่วมถึง เมืองนี้จึงมีกำแพงกันน้ำท่วมกันตลอดแนวความยาวของแม่น้ำที่ผ่านตัวเมือง ซึ่งเจ้ากำแพงกันน้ำท่วมนี้ได้ถูกตกแต่ด้วยกระเบื้องเป็นภาพโมเสกลวดลายต่าง ๆ ที่สวยงามทีเดียว แต่ด้วยความที่มันติดถนน และถนนที่นี่ก็แอดอัดใช้ได้ มันเลยยากที่เราจะลงไปเดินชมชิล ๆ กันแบบใกล้ชิด ได้แต่นั่งรถผ่าน
แต่กระนั้นภาพโมเสกนี้ก็เป็นภาพโมเสกที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก โดยมีพื้นที่กว่า 7000 ตารางเมตร ใช้เวลากว่า 3 ปี โดยศิลปินกว่า 35 คน จากเียดนามและอีก 8 ประเทศจากทั่วโลก
ข้าวกลางวันจ้า
จะบอกว่าอาหารเวียดนามที่นี่ ก็ไม่เหมือนอาหารเวียดนามที่เรากินที่ไทยล่ะ 555 (ามีแกงจืดผักตำลึงตามระเบียบ)
ร้านตัดผมข้างถนน เป็นอะไรที่หาไมไ่ด้ในบ้านเราอีกเหมือนกัน แปลกดี
ร้านขายของที่ระลึกแถวทะเลสาบหว่านเกี๊ยม
ทะเลสาบหว่านเกี๊ยมตั้งอยู่ใจกลางเมืองฮานอย เป็นแหล่งพักผ่อนหย่อนใจของชาวท้องถิ่น และตรงกลางยังมีเกาะที่มีศาลเจ้าและมีเรื่องเล่าโบราณเกี่ยวกับสถานที่นี้อีกด้วย
โดยตำนานที่ว่านั้นก็คือจักรพรรดิของเวียดนามในสมัยก่อนยืมดาบศักดิสิทธิ์มาจากเต่าในทะเลสาบนี้ ซึ่งอำนาจของดาบทำให้สามารถชนะการศึกได้ หลังจากเวียดนามได้เป็นเอกราชแล้ว เต่าก็มาเอาดาบคืนไปและหายไปในทะเลสาบนั่นเอง
เรื่องจริงหรือไม่จริงก็ไม่รู้ เขาว่าเอาไว้แบบนี้ 555
นอกจากตำนานที่เล่าต่อกันมากว่า 500 ปีแล้วนั้น ที่วัดหง็อกเซินกลางทะเลสาบหว่านเกี๊ยมแห่งนี้ ก็มีเต่ายักษ์ถูกสตาฟเอาไว้อยู่ด้วยนะ คือเจ้าเต่ายักษ์ (เราดูว่ามันเป็นตะพาบน้ำมากกว่านะ) ตัวนี้เนี่ย ถูกรายงานพบเห็นผลุบโผล่ในทะเลสาบนี้มานานแล้ว แต่ไม่มีใครจับได้ไง จนกระทั่งมันตายเองตามธรรมชาติถึงได้พบเป็นศพเมื่อปี 1968 ทางการก็เลยทำการสตาฟไว้และตั้งโชว์เอาไว้ในวัดแห่งนี้ตั้งแต่นั้นไปต้นมา ชะเอิงเอย
แมวฮานอยนอนหลับ 😀
อันนี้เป็นอาหารริมทางที่พี่ ๆ ในกรุ๊ปเสี่ยงตายไปกินกันมา คือเป็นเหมือนยำ ที่เอาเครื่องที่ทำสำเร็จแล้วอย่างพวกวุ้นเส้น ผัก เนื้อย่าง มาหยิบใส่จานแล้วก็เอาน้ำยำที่ปรุงไว้แล้วในขวดน้ำดื่มที่นำกลับมาใช่ใหม่เทใส่ลงไป
สรุปว่าผู้กล้าของเราปวดท้องจ้าาาาาาาาา
อันนี้เหมือนขนมไข่หงส์บ้านเรา คือเป็นแป้งๆ ข้างในเป็นถั่ว ๆ เอาไปทอดจนกรอบแล้วเคลือบด้วยน้ำตาล
ไม่อร่อยล่ะ 5555
ต่อมาเราก็ไปดูหุ่นกระบอกน้ำ ซึ่งเป็นการละเล่นที่เป็นเอกลักษณ์ประจำชาติ ที่มาของการละเล่นแบบนี้คือด้วยความที่ว่าเวียดนามเนี่ยก็เป็นที่ราบลุ่มน้ำท่วมถึง พอฤดูน้ำหลากน้ำก็ท่วม ชาวบ้านก็เลยพลิกแพลงเอาสภาพแวดล้อมแบบนี้มาเป็นหนึ่งในการแสดงหุ่นกระบอก
หุ่นกระบอกน้ำเป็นที่นิยมมากของนักท่องเที่ยวโดยเฉพาะชาวตะวันตก ฝรั่ง พวกนางตบมือเอนจอยกันใหญ่ มันคงเป็นอะไรที่ Exotic แปลกตาสำหรับเขา เราก็ดูเพลิน ๆ นะ แต่เราอาจจะชินกับการละเล่นอะไรพวกนี้เนื่องจากวัฒนธรรมการละเล่นอะไรพวกนี้มันมีความคล้ายคลึงและมีการแชร์กันในแถบอุษาคเนย์กันอยู่แล้ว
อย่างที่บอกว่าเวียดนามเปิดประเทศแล้ว ความเจริญ เทคโนโลยี แฟชั่น ความฮิปั้นหลั่งไหลเข้ามาถึงประชาชน วัยรุ่นกันอย่างถ้วนหน้า วัฒนธรรมการกินกาแฟเก๋ ๆ ชิล ๆ ชาวเวียดนามเขาก็มี แต่เก๋และฮิปยิ่งกว่า เพราะต่อให้ร้านกาแฟนสุดชิคจะแต่งร้านแจ่มเจิดยังไง เขาก็มานั่งกันบนเก้าอี้เตีย ๆ ล้อมวงโต๊ะเล้ก ๆ กันที่นอกร้านอยู่ดี
โคตรพ่อโคตรแม่ชิคเลยครัชพี่น้อง ชอบ แบบว่าประยุต์เข้ากับวัฒนธรรมตัวเองได้ดี
หลังจากนั้นเราก็เดินทางมายังที่พักคืนสุดท้ายของเราที่โรงแรม Pullman Hanoi ซึ่งเป็นโรงแรมที่ได้รับการรีโนเวทปรับปรุงใหม่ อยู่ใจกลางเมืองฮานอย ใกล้แหล่งท่องเที่ยวและสถานที่สำคัญของเมืองนี้ สิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน ห้องสะอาดสะอ้านดี
อันนี้เป็นของว่าง Welcome ตอนที่เราเช็คอินเข้ามา
อาหารเย็นที่โรงแรม Pullman Hanoi อร่อยใข้ได้เลยล่ะ ของหวานเขาบอกว่าเป็นขนมพื้นบ้านของเวียดนาม สำหรับเรามันคือข้าวเหนียวเปียกนั่นเอง บอกแล้วว่าประเทสเพื่อนบ้านเรานี้อยู่ร่วมกันมาเป็นพันปี วัฒนธรรม อาหาร มันมีการแชร์ข้ามกันไปมาอย่างแยกกันไม่ออกว่าใครมาก่อนใคร ดังนั้นเราเพื่อนบ้านให้เป็นเพื่อน ไม่ใช่ศัตรูกันมาแต่ชาติปางก่อนนะจ๊ะ (อ้อ มื้อนี้ไม่มีแกงจืดตำลึงแล้วนะ 555)
วิวของเมืองฮานอยยามค่ำคืน ทำให้เห็นว่าภาพมายาคติของประเทศที่คนขับจักรยาน ใส่กี่เพ้า สวมงอบ มันเป็นอดีตไปแล้ว เวียดนามกำลังก้าวเข้าสู่ยุคใหม่ ความเจริญแผ่เข้ามาอย่างรวดเร็ว การลงทุนจากต่างชาติหลั่งไหล รายได้เฉลี่ยและ GDP ของประเทศกำลังเบ่งบาน ตามถนนหนทางเราเห็นการสร้างตึกใหม่ ตึกสูง อาคารล้ำสมัยอยู่เป็นระยะ
เวียดนามกำลังก้าวหน้าสู่อนาคตอย่างรวดเร็ว ทำให้เราเริ่มคิดว่าถ้าเป็นอย่างนี้ต่อไป ในอนาคตประเทศไทยจะสู้เขาได้รึเปล่านะ???
ในที่สุดก็ถึงเวลาที่ต้องกลับไปยังบ้านเกิด ที่สนามบินนอยไบอันสวยงามที่เกิดขึ้นจากทุนของรัฐบาลญี่ปุ่น เทคโนโลยีของญี่ปุ่น รวมไปถึงสร้างโดยบริษัทญี่ปุ่น มีภาพวาดมังงะอันเบ้อเร่อแปะไว้เพื่อเป็นที่ระลึกในการสร้างสนามบินแห่งนี้ ช่างญี่ปุ่นเสียจริง ๆ !!!
ทริปนี้ต้องขอขอบคุณสายการบิน Jetstar ที่พาปูเป้มาเปิดหูเปิดตาดูความเป็นไปในปัจจุบันของประเทศเพื่อนบ้าน ได้เห็นอะไรหลายอย่างที่น่าสนใจ
สำหรับใครที่สนใจไปลั่นล้าที่เวียดนามแล้วล่ะก็ Jetstar เป็นอีกทางเลือกให้คุณบินตรงจากกรุงเทพ สุวรรณภูมิไปถึงฮานอยได้ในราคาประหยัด ๆ นะจ๊ะ