วันแม่ปีนี้ปูเป้มีของขวัญจะเซอไพรซ์มะม๊ามากมายและทุกชิ้นมีที่มาที่ไปทั้งสิ้น… ก็ไม่รู้ว่าจะมีใครหาว่ามาอวดรึเปล่า แต่ผมก็แค่รู้สึกเต็มอิ่มในใจ จนอยากมาแชร์ความรู้สึกนี้ให้กับทุก ๆ คนที่คอยติดตามบล็อกของมาด้วยเช่นกัน

ตั้งแต่จำความได้ ผมบอกตัวเองอยู่เสมอว่า “รักมะม๊าที่สุด” แต่กลับใช้เวลาเกือบ 20 ปีกว่าจะรู้สึกตัวว่าที่จริงแล้วผมไม่ได้ให้ความสำคัญ ไม่ได้สนใจหรือรับรู้ความรู้สึกของมะม๊าอย่างจริงจัง ผมเคยบอกว่า “แคร์มะม๊ามากที่สุด” แต่ผมก็ยังทำตัวไม่ดีให้ท่านต้องเสียใจ ยังก่อปัญหาให้ท่านต้องกลุ้มใจอยู่บ่อยครั้ง

จนเกิดเหตุการณ์หนึ่งที่ทำให้ผมแทบไม่เป็นผู้เป็นคน กับความรักที่ผมหวังมันมากเกินไป ฝันมากเกินไป รักมากเกินไป แล้วสุดท้ายก็พังแบบไม่มีชิ้นดี คนที่นั่งร้องไห้และกอดผมเอาไว้ คอยปลอบใจ ให้กำลังใจอยู่ตลอด คนที่คอยมอบความรักให้ผมโดยไม่เคยเรียกร้องอะไรกลับคือ ก็คือ “มะม๊า” …ไม่ใช่เขาคนนั้น…

ตอนที่ความรักยังหวานชื่น ชีวิตของผมก็อยู่กับ(อดีต)แฟนตลอด เวลาอื่นที่เหลือก็เอาไปใช้กินเที่ยวกับเพื่อนฝูง ผมไม่ค่อยจะไปทานข้าวกับมะม๊าในวัน Family Day ทุกสัปดาห์เหมือนตอนเด็ก ๆ ไม่ได้ทานข้าวร่วมโต๊ะอาหารในตอนเย็นเพราะมัวแต่เล่นเกมส์อยู่ในห้อง ในยามรักล่มทำชีวิตหักเห ช่วงนั้นอายุใกล้เบญจเพศเข้าไปทุกที จบมหาลัยมาก็หลายปีแต่ก็ยังไม่ได้ทำงานประจำเป็นหลักแหล่ง ผมจึงมีเวลาอยู่กับมะม๊ามากขึ้นในช่วงนั้น ช่วยทำงานเล็ก ๆ น้อย ๆ แบ่งเบาภาระเท่าที่จะทำได้…

ผมก็ได้เห็นสิ่งที่ผมไม่เคยได้เห็น หรือบางทีผมอาจทำเป็นไม่เห็นไม่สนใจ… ผมได้รับรู้ปัญหาของทางบ้านมากขึ้น รู้ถึงปัญหาการเงินว่าจริง ๆ แล้วว่าฐานะของทางบ้านไม่ได้ดีเหมือนก่อน เงินที่ผมใช้จ่ายอย่างไม่เห็นค่าตลอดเวลาที่ผ่านมานั้น มะม๊าต้องอดออมในส่วนของตัวเองเพื่อที่จะเอาเงินมาให้ผมไปซื้อเสื้อผ้า เครื่องสำอาง เพื่อให้ผมไม่ต้องรู้สึกว่า “ขาด” หรือ “ด้อย” กว่าเพื่อนคนอื่น

ผมรู้สึกว่าตัวเองเป็นลูกที่แย่ที่สุด ผมนั่งร้องไห้เมื่อคิดสิ่งต่าง ๆ ที่มะม๊าทำให้ผมมาตลอดแต่ผมกลับไม่เคยตอบแทนอะไรให้มะม๊าได้ชื่นใจ มะม๊าไม่เคยบ่น ไม่เคยด่าว่า และไม่เคยเรียกร้องอะไรจากผมเลย… สิ่งเดียวที่มะม๊าเคยเรียกร้องจากผมคือ “ขอให้เรียนมหาลัยให้จบจะได้ทำงานดูแลตัวเองได้ เพราะม๊าก็ไมได้อยู่ค้ำฟ้าเลี้ยงเราไปได้ตลอดหรอกนะ”

จากที่ไม่เคยคิดถึงอนาคตมากนัก แต่ตอนนี้ผมมีเป้าหมายใหม่ในชีวิตแล้ว นั่นก็คือต้องทำงานให้หนัก หาเงินให้ได้มาก ๆ เพื่อที่จะให้มะม๊าได้อยู่อย่างสุขสบาย… แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ ที่จะทำ ผมไมไ่ด้เรียนเก่ง โดดเรียนก็บ่อยทำให้ได้กรดไม่ดีนักตอนอยู่มหาวิทยาลัย และก็ดันเรื่องมากไม่อยากทำงานออฟฟิสหรืองานนั่งโต๊ะ ซึ่งมักเป็นงานในสาขาที่ผมเรียนมาเสียด้วยสิ… ผมจึงเลือกเรียนต่อในสายอาชีพ การทำเบเกอรี่ ซึ่งเป็นสิ่งที่ปูเป้รักโดยหวังว่าจะได้เป็นเชฟที่มีชื่อเสียง ให้มะม๊าได้ภูมิใจ และหาเงินได้เยอะพอที่จะเลี้ยงดูมะม๊าอย่างสุขสบายได้…

ทว่าชีวิตการทำงานไม่ใช่เรื่องง่าย หนทางสู่การเป็นเชฟในโรงแรมชื่อดังมันช่างดูตีบตันนักในไทย เงินเดือนพนักงานชั่วคราวไม่กี่พันลำพังแค่ช่วยค่าใช้จ่ายในบ้าน ค่าน้ำค่าไฟ ค่าใช้จ่ายส่วนตัวยังไม่ค่อยจะพอ แล้วจะเหลือเก็บไปเลี้ยงมะม๊าได้ยังไง… แถมในช่วงนั้นคุณพ่อล้มป่วยเป็นโรคหัวใจแบบกระทันหัน ต้องบอลลูนหัวใจทันที ค่าใช้จ่ายหลักแสนในช่วงที่ครอบครัวกำลังลำบากทำให้ที่บ้านเครียดกันหนัก ช่วงนั้นชีวิตเหมือนจะไร้ทางออก นั่นเป็นครั้งแรกที่ผมเริ่มเข้าวัดเข้าวา เริ่มทำบุญเพื่อหาหลักยึดเหนี่ยวให้จิตใจมั่นคง ซึ่งเป็นสิ่งที่ผมไม่เคยทำมาก่อนเลย (จะเรียกว่าพวกนอกรีต ไร้ศาสนา บาปหนาก็ได้นะ)

เมื่อการสัมภาษณ์เพื่อเป็นผู้ช่วยเชฟในเรือสำราญแถวยุโรปได้รับการตอบสนองทำให้ชีวิตดูมีความหวังมากขึ้น ถึงจะเป็นงานที่ต้องอยู่ไกลบ้านเกือบครึ่งปีในแต่ละครั้งแต่ค่าตอบแทนก็คุ้มค่า (แถมไม่มีเวลาได้ใช้เงินด้วย มีเหลือเก็บบาน…) แต่แล้วผมก็พลาดทริปเรือนั้นไปถึงสองครั้ง เพราะทางราชการออก Certificate ไม่ทันในครั้งแรก และครั้งที่สองคือการปิดสนามบินสุวรรณภูมิ ช่างโชคร้ายอะไรอย่างนี้… ในระหว่างนั้นผมก็เริ่มทำงานพิเศษเพื่อลดภาระค่าใช้จ่ายในบ้านบ้าง และเริ่มทำ Blog เกี่ยวกับเครื่องสำอางบำรุงผิวเป็นงานอดิเรกยามว่าง ให้ผมได้มีความสุขกับสิ่งที่ตัวเองรักบ้างในช่วงเวลาที่ยากลำบาก

หนึ่งปีผ่านไป Blog ของผมก็เป็นที่นิยมมากขึ้น ผมได้พบปะผู้คนดี ๆ และเพื่อนใหม่ ๆ มากมายที่คอยช่วยเหลือ สนับสนุน และเสนอโอกาสทางการงานในด้านต่าง ๆ ทั้งงานเขียน งานวิทยากร และอื่น ๆ จนถึงตอนนี้ที่งานเริ่มเยอะ มีรายได้มาจุนเจือทางบ้านและยังมีเงินเหลือเก็บ ถึงแม้จะไม่มากนักแต่ผมยังไม่เคยลืมคำที่เคยบอกตัวเองว่าอยากทำให้มะม๊ามีความสุข ในวันแม่นี้ ปูเป้จะขอให้ของขวัญแบบเป็นชิ้นเป็นอันเป็นครั้งแรกในรอบ 28 ปี เพื่อคนที่ผมรักที่สุดในชีวิต

ก่อนที่จะไปเที่ยวญี่ปุ่นได้ไม่กี่สัปดาห์ เจ้าแมวตัวดีที่เลี้ยงไว้แอบเข้าไปปล่อยกลิ่นในกระเป๋าสะพาย Bally ของมะม๊า จนต้องเอามาเช็ดทำความสะอาด แต่ตากเอาไว้ในห้องน้ำหลายวันกลิ่นก็ไม่จางไปสักที จึงมะม๊าไปหยิบเอากระเป๋า Kiplink (สะกดถูกป่ะ?) ออกมาใช้แทนผมเห็นด้ายที่รุยมาจากขอบของกระเป๋าลิงใบนั้น สีของเนื้อผ้าก็มอ ๆ เก่า ๆ แล้วผมก็ย้อนกลับมาดูกระเป๋า Bally ที่ห้อยไว้ในห้องน้ำอย่างพินิจ โลหะที่เคยชุบทองนั้นตอนนี้หลุดลอกจนเป็นสีเงินเสียเป็นส่วนใหญ่ ก็คิดว่าจริง ๆ แล้วผมไม่ได้เห็นมะม๊าซื้อกระเป๋าใบใหม่เลยในช่วงเวลาเกือบสิบปีนี้ กระเป๋า Bally ใบนี้ถ้าผมจำไม่ผิดผมเห็นตั้งแต่ตอนอยู่มัธยมต้นเสียด้วยซ้ำไป

ผู้หญิง… ยังไงก็อยากใช้ของสวย ๆ อยากแต่งตัวให้ดูดี ผมว่ามะม๊าก็คงไม่ต่างกัน แต่ก็พยายามประหยัดเพราะที่บ้านก็มีภาระค่าใช้จ่ายไม่น้อย คุณพ่อก็มาเป็นโรคหัวใจทำงานมากไม่ได้ ภาระในการหาเงินเข้าบ้านจึงอยู่ที่มะม๊าเป็นส่วนใหญ่

ในตอนนี้ที่ปูเป้พอจะช่วยเหลือทางบ้านได้แล้ว มีเงินเก็บอีกส่วนหนึ่งก็เลยอยากให้มะม๊าได้ใช้กระเป๋าใบใหม่ แต่ด้วยความไม่เคยสนใจกระเป๋าแบรนด์เนมมาก่อนเลย ก็เลยไม่รู้จะเลือกยังไง… แบรนด์ไหนดี… ราคาไม่แพงจนเกินงบ 15,000 ที่ผมตั้งเอาไว้ แต่ผมก็โชคดีที่ได้เพื่อนๆ และผู้ที่ติดตามอ่าน Blog มาช่วยกันแนะนำใน Facebook หาตัวเลือก หาแหล่งที่ซื้อราคาไม่แพงมาให้เต็มไปหมด (และเป็นครั้งแรกที่ผมเข้าเวป Siambrandname ที่ผมเคยได้ยิน แต่ไม่เคยคิดจะไปเปิดดูมาก่อนเลยในชีวิต)

กระเป๋า Coach ในนี้ “พี่เต้” และ “พี่ฝน” จาก Kiehl’s สละเวลาพาปูเป้ไปเดินถึงละลายทรัพย์ (ที่ปูเป้ไม่เคยสนใจจะไปอีกเช่นกัน) เป็นใบที่เห็นแล้วเหมาะกับมะม๊ามาก สวย คลาสสิค ใช้ได้กับทุกโอกาส เก็บของได้มาก (มะม๊าเป็นคนที่พกทุกอย่างติดตัวเอาไว้ ไม่ว่าจะบัตรส่วนลด กระดาษ พลาสเตอร์ และบลา ๆ ๆ มากมายเต็มไปหมด) ซื้อมาในราคา 9,000 บาท มีตำหนิเป็นรอยเลอะนิดหน่อย แต่ส่งซักแห้งที่โอเรียนเตลแล้วก็ออกหมด สะอาดเอี่ยมเลยทีเดียว

สวมถุงผ้าของ Coach แล้วก็ใส่ลงไปในกล่องที่บุกระดาษรองเอาไว้แบบนี้เป็นชั้นล่างสุด
PS. ขอบคุณพนักงาน Coach สาขาเอมโพเรี่ยมที่ไม่ขำก๊าก ตอนปูเป้ถามว่า ” ฮาร์ดแวร์คืออะไร?” ด้วยนะครับ

ผมเคยเห็นมะม๊าไปเดินดูกระเป๋าใส่เงินในแผนกกระเป๋าของพารากอน (มารู้ทีหลังว่ากระเป๋าใบเดิมขาดจนซ่อมไมได้แล้ว) มะม๊าหยิบกระเป๋าขึ้นมาใบนึงขึ้นมาพลิกซ้ายพลิกขวาเปิดดูข้างในเหมือนกับถูกใจมาก แต่พอพลิกป้ายราคาขึ้นมาดูก็เหมือนชะงักไปแปปหนึ่งก่อนจะวางลงที่เดิม มะม๊ากับปูเป้ไปเดิน MBK เพื่อดูกระเป๋าสตางค์ที่ราคาถูกกว่ามาก (แต่ไม่สวยเลย) แต่ผมก็บอกว่าไม่ต้องซื้อหรอก เดี๋ยวไปญี่ปุ่นจะหาแบบที่สวย ๆ มาให้เอง มะม๊าก็ยิ้มนิด ๆ วางกระเป๋าลง แล้วก็เดินไปหาอะไรทานกัน (แม่ค้าแผงกระเป๋าคงนึกด่าเราในไว้ว่า “ไอ้ตัวขัดลาภ”)

ก็เคยได้ยินคนเม้ามอยมาว่า “อั้ม พัชราภา” ไปซื้อกระเป๋าแบรนด์เนมมือสองสภาพนิ้งราคาไม่แพงที่ญี่ปุ่น เราก็หวังจะทำบ้าง แต่ด้วยความที่ช่วงก่อนจะไปญี่ปุ่นมีงานยุ่งมากจนไมได้หาข้อมูลอะไรก่อนเลยแม้แต่น้อย แถมยังพูดภาษาญี่ปุ่นไม่เป็น คนญี่ปุ่นก็ไม่พูดอังกฤษด้วย การจะไปถามทางเพื่อหาซื้อนั้นมีความเป็นไปได้คือ “0” แต่ผมก็หวังว่าตัวเองจะโชคดี เดินเจอเองโดยบังเอิญ (มองโลกในแง่ดีจริงๆ )

โชคไม่เข้าข้างนัก หลังจากการเดินจนขาแทบหลุด ผมไม่เจอร้านขายกระเป๋ามือสองเลยสักที่ (เจอแต่ร้านขายเครื่องสำอางกับของกิน) กลับมาก็บอกมะม๊าว่าหากระเป๋าให้ไมได้นะ มะม๊าก็ยิ้มแล้วก็บอกว่า “ไม่ต้องหรอก ก็ซื้อของที่ตัวเองอยากได้ หรือซื้อของฝากเพื่อนไปแหล่ะดีแล้ว” แต่ผมไม่ล้มเลิกความตั้งใจหรอก

ทว่าการหากระเป๋าใส่เงินแบบที่มะม๊าชอบ + สวย + ดูดี ในราคาที่กำหนดไว้ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะที่ราคาไม่กี่พันก็ตัดเย็นไม่เรียบร้อย ที่ดูดีหน่อยเห็นราคาแล้วก็แทบหัวใจวาย…

ต้องขอบคุณพี่เจี๊ยบ ที่ส่ง Link ใน SBN ที่มีกระเป๋าสวย ๆ ราคาไม่แพงให้เลือกมากมาย ผมเจอกระเป๋าของ Coach ใบนี้ก็รู้ทันทีว่าเป็นใบที่ใช่ เพราะมีช่องใส่การ์ดเยอะ มีช่องใส่เหรียญด้านหลัง มีสายคาดปิดกระเป๋าที่ไม่ใช่กระดุมแป๊กซึ่งหลุดง่ายเมื่อใช้ไปนาน ๆ แบบที่มะม๊าอยากได้ทุกประการ ในราคา 4150 บาทเท่านั้น (รุ่นใหม่ ขนาดใกล้เคียงกันใน Shop ที่ไปดูใบละหมื่นนิด ๆ แน่ะ) เท่ากับว่าผมสามารถให้มะม๊าได้ครบทั้งกระเป๋าสะพายและกระเป๋าใส่สตางค์ในงบที่เตรียมเอาไว้เลยนะเนี่ย!!!! ดีใจ!!!

เอากระดาษสีแดง… สีที่มะม๊าชอบมารองเอาไว้อีกชั้น วางกระเป๋าลงไปตรงกลางก่อนจะวางทับด้วยกระดาษสีแดงอีกครั้งเพื่อวางของชิ้นต่อ ๆ ไป

ตอนเด็ก ๆ และตอนวัยรุ่น มะม๊าเครื่องสำอางให้ผม ตอนนี้แหล่ะปูเป้จะซื้อเครื่องสำอางให้มะม๊าบ้าง…

มะม๊าเป็นคนที่มีความ Loyalty กับแบรนด์ใดแบรนด์หนึ่งมาก ๆ อาจเป็นเพราะไม่ชอบเปลี่ยนแปลงอะไร…ใช้อะไรก็ใช้อยู่อย่างนั้น เครื่องสำอางที่มะม๊าใช้ครั้งแรกตั้งแต่สมัยยังสาวจนถึงงทุกวันนี้กว่า 40 ปีมาแล้วก็คือ Lancome

ถึงแม้ปูเป้จะหลอกล่อต่าง ๆ นาน ๆ ให้มะม๊าไปใช้แบรนด์อื่น ๆ ที่คัดให้แล้วว่าส่วนผสมดี ราคาประหยัดกว่า ซื้อมาประเคนให้ถึงที่ พอถามว่าใช้แล้วดีไหม มะม๊าก็จะตอบเป็นแพทเทอร์นเดิมเหมือนแผ่นเสียงตกร่องว่า “ม๊ารู้สึกว่าตอนที่ใช้ Lancome หน้าหน้ามันดูกระจ่างกว่า” โอ้ว!!! ไอ้ครีมกลวง ๆ ไม่มีอะไรเลยแบบนั้นมันจะไปสู้ครีมที่อัดแน่นไปด้วยสารบำรุงที่ปูเป้เลือกให้ได้ยังไงกัน!!!! แต่… ก็คนมันชอบนะครับ ผมก็เลยต้องตามใจมะม๊าซะหน่อย

ปูเป้เลือก Lancome : Bienfait SPF 30 สำหรับผิวหน้า และ Lancome : Bienfait SPF 28 สำหรับผิวรอบดวงตา ให้ใช้ในตอนกลางวัน เพราะเช็คข้อมูลแล้วว่ากัน UV ได้ครบ มีส่วนผสมที่ดี มีสารต้านอนุมูลอิสระ บรรจุภัณฑ์เหมาะสม ราคา 49.50 US ถึงจะแพงไปหน่อยในความคิดของผมสำหรับมอยซ์เจอไรเซอร์ SPF 30 ขวดนึง แต่หากเป็นแบรนด์มะม๊าชอบ มะม๊าใช้แล้วมีความสุข ผมก็อยากให้มะม๊าได้ใช้ต่อไป ( แต่อย่างน้อยก็ขอกรองส่วนผสมให้หน่อยละกันน่า!!!)

ปกติ Lancome Bienfait SPF 30 ขวดเดียวก็ เกือบ 50US$ แล้ว แต่ไปเจอชุดพิเศษ 3 ชิ้นนี้ในราคาแค่ 49.50 US$ จึงรีบสั่งมาทันที

แต่ปูเป้ก็ไม่ยอมแพ้ในการที่จะหลอกล่อให้มะม๊าใช้แบรนด์อื่นด้วยหรอกครับ 😀 จึงสั่ง Estee Lauder : Advance Night Repair ที่เป็นชุดโปรโมชั่นแถมอายครีม และเดย์ครีมอีก ในราคารวมค่าหิ้วก็ประมาณ 1970 บาท มาให้ลองใช้ด้วย (ผมจะได้จิ๊กอายครีม ANR ที่พึ่งออกใหม่ด้วยมาลองใช้บ้างด้วยแหล่ะ)

ส่วน Kiehl’s : Powerful-Stength Line-Reducing Concentrate ที่มีวิตามินซี 10.5% อันนี้ปูเป้ซื้อให้มะม๊ามาสองขวดแล้ว เหมือนจะเป็นสินค้าแบรนด์อื่นตัวเดียวที่มะม๊าบอกว่าใช้แล้วดี จุดด่างดำจางลง (แต่ต้องใช้คู่กับ lancome ด้วยนะ ใช้กับแบรนด์อื่น มะม๊าก็ว่าสู้ตอนใช้คู่กับ Lancome ไม่ได้อีกนั่นแหล่ะ เฮ้อ….) เห็นขวดเก่ากำลังจะหมดก็เอาให้อีกขวดไปเลยละกัน

สาเหตุที่อยากให้พาเลตเมคอัพชุดนี้ก็มีเรื่องราวเล็กน้อย เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อประมาณต้นปีที่ผ่านมา

ปกติผมไม่ค่อยได้อยู่เห็นตอนที่มะม๊ากำลังแต่งหน้านัก ก็ไม่ไ่ด้สังเกตุหรอกว่ามะม๊าใช้อะไรแต่งหน้า จริง ๆ ไม่ไ่ด้สังเหตุเลยด้วยซ้ำว่ามะม๊าได้ซื้อเมคอัพอะไรมาบ้างรึเปล่า (เพราะสนใจแต่พวกครีมบำรุง)

มีวันนึงปูเป้จะรีวิว Cleansing ล้างเครื่องสำอางก็เลยไปขอพวกเมคอัพ อายชาโดว์ ลิปสติก และอื่น ๆ ของมะม๊ามา เพื่อจะได้ลองทาแล้วดูว่า Cleansing จะล้างออกได้ดีแค่ไหน มะม๊าไปที่ตู้เย็นช่องเก็บผักแล้วก็หยิบพาเลตแต่งหน้าขนาดใหญ่บิ้กบึ้มของ Lancome มาให้ แต่พาเลตนี้ทำไมมันไม่ค่อยคุ้นเลย ปีก่อน หรือสองปีก่อนก็ไม่เห็นจะมีที่ใหญ่แบบนี้วางขาย เลยถามว่ามะม๊าแอบไปซื้อมาตอนไหน

“ประมาณสิบปีก่ิอน” มะม๊าตอบหน้านิ่ง ๆ แต่ปูเป้ถึงกับตาเหลือกอ้าปากค้าง

“สิบปี!!!!!!! “ม๊า!!! นี่มันตู้เย็นนะ ไม่ใช่ตู้กาลเวลา…. เก็บมา 10 ปีแล้วม๊ายังกล้าใช้ไปได้ยังไงเนี่ย เกิดอายชาโดว์ละลายหลุดเข้าตา ตาไม่บอดเอาหรอ!!!”

“ก็ใช้มาตั้งนาน ไม่เห็นจะเป็นไร…” ผมถึงกับกุมขมับ…โถ มะม๊าที่รักครับ ต้องรอให้มันเป็นอะไรก่อนรึไงถึงจะซื้ออันใหม่เนี่ย ก็เข้าใจครับว่ามะม๊าอยากประหยัดทุกอย่าง แต่ก็ทำให้ปูเป้อดไม่ได้จริง ๆ

ก็พยายามหาพาเลตที่คล้ายกับของที่มะม๊ามี แต่ก็หาไม่ได้เลยสักที ล่าสุดโชคดีมากที่เวป Norsstrom มีช่วงโปรโมชั่น ของแถมของ Lancome กับ Estee Lauder มีพาเลทบรัชออน อายชาโดว์ ลิปสติค มาสคาร่าพอดิบพอดี แถมสีก็เป็นสีเบสิคเรียบ ๆ เหมาะกับมะม๊าด้วย ก็เลยได้ของที่อยากให้มะม๊ามาโดยไม่ต้องเสียเงินเพิ่ม เลยจะเอาเงินตรงนี้แหล่ะพามะม๊าไปทานข้าวในวันแม่ซะหน่อย 😀

จัดใส่กล่องรวม ๆ กันก็เป็นแบบนี้แหล่ะ 😀
ผมปิดฝากล่องของขวัญด้วยหัวใจที่พองโตเต็มล้นไปด้วยความสุข ได้แต่จินตนาการถึงในตอนบ่ายที่จะถึงนี้ (มะม๊าตื่นสายเพราะทำงาน คิดบัญชีจนตี 2 ตี 3 ทุกวัน) ว่ามะม๊าจะดีใจมากแค่ไหน แล้วก็รู้สึกเต็มตื้นในใจ อยากให้เวลาหมุนผ่านไปเร็ว ๆ

ปูเป้จะพยายามต่อไปในทุก ๆ เรื่องครับ อยากให้มะม๊าภูมิใจในตัวลูกคนนี้ อยากให้มะม๊าเอาลูกตัวเองไปอวดกับเพื่อน ๆ ได้ อยากให้มะม๊าได้ทำในสิ่งที่เคยต้องถอดใจ อยากให้มะม๊าได้กินของอร่อย ๆ ได้เที่ยวชมพักผ่อนในที่สวยงามเท่าที่อยากจะไป ได้ใช้ของที่มะม๊าอยากได้

สุดท้ายนี้ ก็ขอให้ทุกคนรักคุณแม่ให้มาก ๆ นะครับ เพราะคงไม่มีความรักใดยิ่งใหญ่ไปกว่ารักของแม่อีกแล้ว 🙂

PuPe_so_Sweet รักมะม๊าที่สุด!!!

Update ตอนนี้เอาของขวัญให้เรียบร้อยแล้วครับ มะม๊าดีใจมาก แต่แกะของขวัญไปก็บ่นไปว่าซื้อทำไมของแพงแบบนี้ ทำไมไม่เก็บเงินไว้ใช้เองล่ะ แต่มะม๊าก็ดีใจมากครับ

มีตอนนึงมะม๊าเอารูปเก่า ๆ ตอนที่ปูเป้เด็ก ๆ ที่ม๊าเก็บเอาไว้ในเซฟส่วนตัวมาดูด้วยกัน มะม๊าไมไ่ด้ร้องไห้ครับ แต่ลูกคนนี้บ่อน้ำตาแตกแทน เห็นแล้วเรารู้สึกได้เลยว่าม๊ารักเรามากแค่ไหน

มีแค่รูปช่วงเด็ก ๆ เท่านั้นแหล่ะที่ถ่ายกับมะม๊า พอโตขึ้นมาหน่อยก็ติดเพื่อน ติดแฟนจนไม่ค่อยมีรูปถ่ายด้วยกันเลย รู้สึกเสียดายช่วงเวลาตอนนั้นมาก ๆ

สแกนไป น้ำตาก็ไหลไป มันไม่รู้จะบรรยายความรู้สึกออกมายังไงดี ทั้งดีใจ มีความสุขที่ได้ความรักมากมาย ทั้งรู้สึกผิดกับสิ่งที่เคยทำลงไป…

วันนี้มีความสุขครับ