ช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมาเราเห็นทาง Lancôme โปรโมท Advanced Génifique ของเขาเป็นการใหญ่และเมื่อมานับเวลาที่ผลิตภัณฑ์ตัวนี้ออกสู่ตลาดเราก็คาดไว้ว่าจะมีรุ่นใหม่มาเสียบแทบ แต่ปรากฏว่าเราเดาผิดไปเล็กน้อย คือมีของใหม่มาจริงแต่ไม่ได้มาแทนที่ใครทว่าเป็นผลิตภัณฑ์ใหม่ที่มาเพิ่มกลุ่ม Génifique ให้ใหญ่ขึ้นไปอีก และเราคิดว่าหลายคนอาจจะงงว่าเอ๊ะ แล้วมันต่างกับผลิตภัณฑ์ตัวที่ออกมาก่อนหน้าอย่างไร วันนี้เราจะมาแจงให้ดูว่ามันต่างกันเยอะเลยล่ะ

ขอท้าวความย้อนไปก่อนว่าผลิตภัณฑ์ในกลุ่ม Génifique เปิดตัวครั้งแรกในปี 2009 และขายดีระเบิดระเบ้อเขาก็ขนทัพกันออกมายกใหญ่ทั้งอายเซรั่ม อายครีม มาสก์แผ่นที่ดีมาก (แต่ไม่เอามาขาย) ก่อนปรับปรุงสูตรใหม่เป็น Lancôme : Advanced Génifique Youth Activating Serum ในปี 2013 และยังจำหน่ายมาจนถึงปัจจุบัน กับคำเคลมในการกระตุ้นโปรตีนแห่งความอ่อนเยาว์ ผลิตภัณพ์ถูกโพซิชั่นเป็นเซรั่มที่ทุกคนสามารถใช้ได้และใช้ก่อนเซรั่มทุกตัวเพราะมีเนื้อที่บางเบาและให้ผลในแง่ของพื้นผิวที่เรียบเนียนขึ้นดูสุขภาพดีขึ้นชุ่มชื่นขึ้นซึ่งเป็นสิ่งที่ทุกคนในทุกช่วงวัยจะได้ประโยชน์

ส่วนผลิตภัณฑ์ตัวใหม่อย่าง Lancôme : Advanced Génifique Sensitive Youth Activating + Sensitivity Soothing Serum นำเสนอด้วยรูปแบบผลิตภัณฑ์ที่ต้องผสมสดก่อนใช้ซึ่งทำได้ง่ายเพียงบิดแคปซูลให้ส่วนของ Blue Concentrate ผสมเข้าไปกับตัว Base Concentrate ก่อนเปลี่ยนฝาเป็นดรอปเปอร์และเขย่าให้เข้ากันเป็นอันเสร็จเรียบร้อย โดยหลังจากผสมแล้วควรใช้ให้หมดใน 2 เดือน (มันมีเหตุผล เราจะบอกข้างล่างว่าเพราะอะไร)

ผลิตภัณฑ์ตัวนี้ถูกพัฒนาขึ้นมาเพื่อนอกจากการกระตุ้นความอ่อนเยาว์ในแบบฉบับของ Génifique แล้วยังเสริมประสิทธิภาพในการปลอบประโลมลดการไวของผิวต่อสิ่งเร้าและปัจจัยลบจากภายนอกอีกด้วย คอนเซปต์ของเขาคือเวลาเปลี่ยนฤดูกาลในต่างประเทศที่เขามีฤดูกาลชัดเจนเนี่ย ความร้อน ความเย็น ความชื้น และความแห้งของอากาศที่เปลี่ยนไปส่งผลกระทบต่อผิวอยู่มากทีเดียวและเป็นวัฏจักรอยู่ราว 2 – 3 ครั้งต่อปี เขาจึงมองว่าผลิตภัณฑ์ตัวนี้เป็นเหมือนกับตัวที่ช่วยเสริมความแข็งแรงให้ผิวก่อนที่จะเจอกับฤดูกาลที่ผันผวนหรือฟื้นบำรุงผิวที่อ่อนแอจากปัจจัยเหล่านี้นั่นเอง

พูดมาแบบนี้หลายคนอาจจะร้องอ้าว บ้านเราที่ไม่ได้มีหิมะตก ใบไม้ผลิ เหมือนชาวบ้านเขาจำเป็นต้องใช้ด้วยหรือ? ถ้าเธอจะบอกว่าการที่เมืองเราที่ดูราวกับมีแค่ถดูร้อน ร้อนมาก และร้อนสุด ๆ นั่นคือผิวเราจะไม่เจอกับ stress ในชวงเปลี่ยนฤดูเหมือนเขาเราขอบอว่าเธอคิดผิด เพราะเอาเข้าจริง ๆ แล้วเราเชื่อว่าผิวของเราเจอ stress หรือความเครียดยิ่งกว่าพวกฝรั่งที่มี 3 หรือ 4 ฤดูก็ว่าได้ ลองคิดดูดี ๆ สิว่าในทุกวันของเราต้องออกไปเจอกับอากาศข้างนอกที่ร้อนอบอ้าว เดินเข้ารถไฟฟ้าเย็นเฉียบ เดินออกจากสถานีรถไฟฟ้าไปออฟฟิตก็ร้อนจนรักแร้เปียก เข้าออฟฟิตแอร์เย็นเหมือนขั้วโลกแถมแห้งจนปากแตกแล้วแตกอีก เรียกได้ว่าปัจจัยที่ฝรั่งเขาเจอกันเป็นฤดูไปสองสามครั้งต่อปีนั้นพวกเราเจอทุกวันเลยก็ว่าได้ นอกจากนี้เราก็คิดว่าหากผลิตภัณฑ์เหมาะกับสภาพผิวและสรรพคุณก็ตรงกับสิ่งที่เราต้องการทำไมเราจะใช้มันไปตลอดไม่ได้ล่ะ? น่าเสียดายจะตาย

กลับมาสู่คำถามหลักของเราซึ่งก็คือ

สองผลิตภัณฑ์นี้ต่างกันอย่างไร?

อันไหนดีกว่ากัน?

เราต้องเลือกอย่างใดอย่างหนึ่งหรือจะใช้ไปคู่กันเลยได้ไหม?

เราเชื่อว่าถ้าทุกคนอ่านที่เราเขียนไว้ด้านล่างจนหมดทุกคนจะตอบคำถามเหล่านี้ได้เองอยู่แล้ว ดังนั้นอย่ารอช้า เรามาเริ่มจากการดูในแง่ของส่วนประกอบกันก่อน ขอให้มองข้ามคำเคลมของเขาไปก่อนเพราะไม่มีอะไรจะบอกเราได้ดีกว่าส่วนประกอบของผลิตภัณฑ์

Product’s Formula

ส่วนผสมสำคัญที่ทั้งสองผลิตภัณฑ์มีเหมือนกันก็คือ

Bifida Ferment Lysate ซึ่งน่าจะมีความเข้มข้น 10% เหมือนกันทั้งคู่เนื่องจากเขาได้ตีพิมพ์การวิจัยเอาไว้ว่าสารสกัดที่ได้จากการหมักบ่มแบคทีเรียชนิดดีนี้ในความเข้มข้น 10% จะช่วยให้ผิวชั้นนอกแข็งแรงขึ้นและมีความชุ่มชื่นมากขึ้น (และผิวที่แข็งแรง ชุ่มชื่น ก็คือผิวสุขภาพดีนั่นเอง)

(Source : Bifidobacterium longum lysate, a new ingredient for reactive skin.)

Faex Extract/Yeast Extract/Extrait De Levure เป็นสารสกัดจากยีสต์สายพันธ์ Saccharomyces Cerevisiae ซึ่งทางแบรนด์เคลมถึงการกระตุ้นการสร้างสารกลุ่ม Glycosaminoglycans หรือ GAGs ด้วย หนึ่งในสารกลุ่มนี้ที่เรารู้จักกันดีก็คือไฮยาลูโรนิคแอซิดซึ่งช่วยให้ผิวชุ่มชื่นและอิ่มฟู เราค้นไปเจอข้อมูลการจดสิทธิบัตรของเครือลอรีอัลแต่เป็นคนละผลิตภัณฑ์ก็อ้างถึงส่วนผสมนี้ในคุณสมบัติเดียวด้วย

(Source : Use of monosaccharides and composition therefor )

Adenosine เป็นส่วนผสมที่ถูกใช้ในเกือบทุกผลิตภัณฑ์ของเครือนี้แล้วล่ะ มันช่วยเพิ่มพลังงานให้กับผิวและเป็น Anti-Aging ได้

Sodium Hyaluronate เป็นส่วนผสมให้ความชุ่มชื่นกับผิวชั้นนอก

4 ส่วนผสมนี้คือสิ่งที่มีเหมือนกันในทั้งสองผลิตภัณฑ์ ต่อไปเราจะมาดูว่าทั้งสองผลิตภัณฑ์มีอะไรที่แตกต่างเฉพาะตัวไปบ้าง

สำหรับ Lancôme : Advanced Génifique Youth Activating Serum (30ml = 3,900 Baht / 50ml = 4,900 Baht / 75ml = 6,200 Baht / 100ml 7,000 Baht) ที่ออกมาตั้งแต่ปี 2013 นั้นมีส่วนผสมสำคัญหลัก ๆ อีก 3 อย่างดังนี้

Hydroxyethylpiperazine Ethane Sulfonic Acid เป็นส่วนผสมที่ทาง L’Oreal จดสิทธิบัตรเอาไว้ว่าช่วยเสริมการผลัดเซลล์ผิวเสื่อมสภาพตามธรรมชาติได้อย่างอ่อนโยน

(Source : Aminosulfonic acid compounds for promoting desquamation of the skin )

Ascorbyl Glucoside อนุพันธุ์วิตามินซีที่นิยมใช้กัน เคลมถึงคุณมบัติในการต้านอนุมูลอิสระไวท์เทนนิ่ง และสารพัดสิ่งที่วิตามินซีทำได้แต่มีความเสถียรมากกว่า

Salicyloyl Phytosphingosine หรือ Phytosphingosine SLC ซึ่งผู้ผลิตส่วนผสมชนิดนี้ตีพิมพ์ผลการศึกษาของเขาในวารสารทางวิทยาศาสตร์เครื่องสำอางเอาไว้ด้วย เคลมว่าเสริมการทำงานของ Skin Barrier ในการกระตุ้นการสร้าง Ceramide เพื่อให้ผิวสามารถเก็บกักความชุ่มชื้นได้ดีขึ้น ลดการสร้างเอนไซม์ MMP-1 ที่ทำร้ายคอลลาเจนใต้ผิว แถมเสริมการสร้าง Pro-Collagen ด้วย แต่ยังไม่มีข้อมูลอื่นมาสนับสนุนนอกเหนือจากงานวิจัยที่ผู้ผลิตสนับสนุนทำขึ้นมาเอง

ส่วนผสมที่อยู่ในผลิตภัณฑ์นี้จะเน้นไปที่เรื่องการชะลอ ต่อต้านริ้วรอย และช่วยเสริมการเป็นไวท์เทนนิ่งและ Anti-Aging มาด้วย

(Source : Salicyloyl-phytosphingosine: a novel agent for the repair of photoaged skin.)

Ingredients : Aqua/Water, Bifida Ferment Lysate, Glycerin, Alcohol Denat., Dimethicone, Hydroxyethylpiperazine Ethane Sulfonic Acid, Ascorbyl Glucoside, Sodium Hyaluronate, Sodium Hydroxide, Sodium Benzoate, Phenoxyethanol, Adenosine, Faex Extract/Yeast Extract/Extrait De Levure, PEG-20 Methyl Glucose Sesquistearate, PEG-60 Hydrogenated Castor Oil, Salicyloyl Phytosphingosine, Ammonium Polyacryldimethyltauramide/Ammonium Polyacryloyldimethyl Taurate, Limonene, Xanthan Gum, Caprylyl Glycol, Disodium EDTA, Octyldodecanol, Citronellol, Fragrance. (F.I.L : B53976/1)

ทางด้าน Lancôme : Advanced Génifique Sensitive Youth Activating + Sensitivity Soothing Serum (20ml = 3,500 Baht) จะมีส่วนผสมที่แตกต่างไปและมีสารสำคัญที่หลากหลายมากกว่าพอดูเลยล่ะ ซึ่งเขาแยกผลิตภัณฑ์เป็นสองส่วนคือแคปซูล  Blue Concentrate และตัว Base Concentrate

ในส่วนของ Blue Concentrate  ที่ฝาขวดด้านบนเป็นส่วนผสมที่เพิ่มเข้ามาใหม่ทั้งหมดเลยซึ่งได้แก่

Ferulic Acid เป็นส่วนผสมที่เรามักไม่คุ้นตากันและเราไม่เคยเห็น Lancôme นำส่วนผสมนี้มาใช้มาก่อน (เท่าที่เราจำได้นะ) จะว่าไปก็ไม่ค่อยมีเครื่องสำอางตัวไหนหยิบสารตัวนี้มาใช้เท่าไหร่นั่นเป็นเพราะว่า Ferulic Acid นั้นมีประโยชน์แต่เอามาใช้ได้ยากเนื่องจากมีปัญหาความไม่เข้ากันกับสูตรเครื่องสำอางและทำให้เสถียรได้ยาก ทางแบรนด์เขาเลยต้องแยกส่วนไปไว้ในแคปซูลที่ผสมสดก่อนใช้ และเมื่อผสมไปแล้วเพื่อให้เราได้รับประสิทธิภาพจากส่วนผสมตัวนี้มากที่สุดก็ควรใช้ให้หมดใน 2 เดือนนั่นเอง แต่ถ้าเกิน 2 เดือนมานิดหน่อยมันก็ไมไ่ด้เสียนะ แต่ประสิทธิภาพของส่วนผสมตัวนี้ก็จะด้อยลงไปแล้วล่ะ ประโยชน์ของเจ้า Ferulic Acid เป็นสารแอนติออกซิแดนท์ที่ดีมากตัวหนึ่ง ต้านการอักเสบ และช่วยปกป้องผิวจากความเสียหายจากแสงแดดอีกด้วยล่ะ

(Source : Ferulic acid stabilizes a solution of vitamins C and E and doubles its photoprotection of skin.)

Centaurea Cyanus Flower Water น้ำสกัดจากดอกไม้สีม่วงนี้มีคุณสมบัติในการต้านการอักเสบและในดอกไม้ชนิดนี้มีสารกลุ่มแซคคาไรด์ที่น่าสนใจหลายตัว ใช้เพื่อปลอบประโลมผิว ลดการระคายเคือง

(Source : Anti-inflammatory and immunological effects of Centaurea cyanus flower-heads.)

Tocopherol เป็นวิตามินอีรูปแบบหนึ่งช่วยต้านอนุมูลอิสระ

Arginine  กรดอะมิโนมีคุณสมบัติพื้นฐานในการให้ความชุ่มชื่น Arginine มีคุณสมบัติในการต้านอนุมูลอิสระ และมีข้อมูลว่า Arginine HCL เมื่อทาลงบนผิวจะช่วยเพิ่มปริมาณของ Urea ในผิวชั้นหนังกำพร้าซึ่งทำให้ผิวมีความชุ่มชื่นที่มากขึ้น

(Source : Topically applied arginine hydrochloride. Effect on urea content of stratum corneum and skin hydration in atopic eczema and skin raging.)

ในตัว Base ที่ขวดด้านล่างก็มีส่วนผสมใหม่ที่น่าสนใจเหมือนกัน

Lactobacillus Ferment เป็นส่วนผสมที่ถูกเพิ่มเข้ามาครั้งแรก มีการจดสิทธิบัตรเอาไว้ว่าสารสกัดที่ได้จากการหมักบ่มแบคทีเรียสายพันธุ์ Lactobacillus Paracasei จะช่วยลดการระคายเคืองและทำให้ผิวแข็งแรงได้เนื่องมาจากทาง L’Oreal ได้ตีพิมพ์งานวิจัยว่า Lactobacillus paracasei NCC 2461 มีประสิทธิภาพในการทำให้ผิวแข็งแรงขึ้นและลดความไวต่อสิ่งเร้าภายนอกได้ แต่การวิจัยนี้เป็นการกินเป็นอาหารเสริมระยะเวลา 2 เดือนด้วยกัน เราก็ไม่แน่ใจว่าเมื่อนำไปทาบนผิวมันจะให้ผลเหมือนกับการกินหรือไม่ แต่ปัจจุบันสารกลุ่ม ferment ที่ได้จากการหมักบ่มเป็นที่นิยมและมีประโยชน์กับผิวในหลายด้านอยู่แล้ว และเราคิดว่านี่เป็นข้อมูลที่น่าสนใจว่าการกิน Probiotic นั้นสามารถมีผลต่อคุณภาพผิวของเราจากภายในเลยทีเดียว แน่นอนว่าเครือนี้เขาได้จดสิทธิบัตรเอาไว้แ้วครอบคลุมตั้งแต่ผลิตภัณฑ์ที่ทาลงบนผิวและผลิตภัณฑ์ที่ใช้กินเลยล่ะ

(Source : Randomised double-blind placebo-controlled study of the effect of Lactobacillus paracasei NCC 2461 on skin reactivity.Use of probiotic microorganisms to limit skin irritation )

Madecassoside เป็นสารที่ได้จากพืชตระกูลใบบัวบกอย่าง Centella Asiatica เป็นสารแอนติออกซิแดนท์ ต้านการอักเสบ เสริมการเยียวยาบาดแผล และยังกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนได้ด้วย

(Source : Centella asiatica in cosmetology)

Leontopodium Alpinum Extract หรือ Edelweiss เป็นพืชสมุนไพรดั้งเดิม สารสำคัญคือ Leontopodic Acid มีสรรพคุณช่วยต้านการอักเสบ

(Source : Anti-inflammatory activity of Leontopodium alpinum and its constituents.Anti-Inflammatory Effects of Concentrated Ethanol Extracts of Edelweiss (Leontopodium alpinum Cass.) Callus Cultures towards Human Keratinocytes and Endothelial Cells)

Caffeine มีจุดเด่นที่ดูซึมเข้าผิวได้ดีและเป็นแอนติออกซิแดนท์เพื่อปกป้องผิวจากรังสี UV ได้

(Source : Caffeine’s mechanisms of action and its cosmetic use.)

Betaine หรือ Trimethyl Glycine เป็นโมเลกุลที่มีอยู่ในร่างกายและรวมถึงผิวของเราด้วย ส่วนผสมนี้ถูกใช้ในผลิตภัณฑ์บำรุงผิวกันอย่างแพร่หลายเพราะคุณสมบัติในการให้ความชุ่มชื้นที่สูงและให้เนื้อสัมผัสที่ไม่หนึบผิว

Hydrolyzed Wheat Protein เราไม่แน่ใจว่าตัวนี้เขาใส่มาเพื่อเคลมอะไร แต่ว่าสารสกัดโปรตีนข้าวมีคุณสมบัติพื้นฐานในแง่ของการปรับสภาพผิวและให้ความชุ่มชื่น

Ananas Sativus Fruit Extract / Pineapple Fruit Extract หรือสารสกัดจากสับปะรด ซึ่งในสับปะรดมีเอนไซม์ Bromelain ซึ่งเป็นสารกลุ่ม Protease ซึ่งในทางทฤษฏีแล้วก็น่าจะช่วยผลัดเซลล์ผิวได้แต่ว่ามันก็มีข้อมูลน้อยมากเลย แต่ Bromelain ก็เป็นแอนติออกซิแดนท์ได้

และถึงแม้ Advanced Génifique Sensitive จะมีส่วนผสมของน้ำหอม แต่ก็เป็นน้ำหอมที่ไม่มีสารประกอบของ fragrance component อย่าง Limonene และ Citronellol แบบใน Advanced Génifique ตัวเดิมด้วย และสูตร Sensitive ก็ไม่มีส่วนผสมของ Alcohol Denat. ที่ถึงแม้จะไม่ได้ทำให้ผิวรู้สึกแห้งอะไรเลยใน Advanced Génifique ตัวเดิม แต่ตัวนี้ก็ตัดส่วนประกอบที่อาจทำให้ผู้บริโภคกังวลออกไปล่ะ

โดยรวมส่วนประกอบทั้งมีความหลากหลายและเน้นไปที่การทำฟื้นฟูผิวชั้นนอกให้แข็งแรง ชุ่มชื่นและมีตัวที่ช่วยลดการอักเสบ การระคายเคือง กับสารต้านอนุมูลอิสระที่หลากหลายกว่า แต่ก็มาในราคาที่สูงกว่าเช่นกัน

Blue Concentrate Ingredients : Dipropylene Glycol, Tocopherol, Ferulic Acid, Isopropyl Lauroyl Sarcosinate, CI 60730 / Ext. Violet 2, Coco-Betaine, Arginine, Centaurea Cyanus Flower Water, Propanediol, Citric Acid, Aqua/Water, Styrene/Acrylates Copolymer (F.I.L : B201457/1)

Base Concentrate Ingredients : Aqua/Water, Bifida Ferment Lysate, Glycerin, Propanediol, Betaine, Ananas Sativus Fruit Extract / Pineapple Fruit Extract, T-Butyl Alcohol, Lactobacillus Ferment, Tocopherol, Sodium Citrate, Sodium Hyaluronate, Madecassoside, Sodium Benzoate, Hydrolyzed Wheat Protein, Sodium Dehydroacetate, Sodium Succinate, Phenoxyethanol, Faex Extract / Yeast Extract, Adenosine, Caffeine, PPG-6-Decyltetradeceth-30, PEG-32, Arginine, Chlorphenesin, Ammonium Polyacryloyldimethyl Taurate, Xanthan Gum, Pentylene Glycol, Leontopodium Alpinum Extract, Caprylyl Glycol, Papain, Disodium EDTA, Citric Acid, Potassium Sorbate, Methionine, Glycine, Fragrance. (F.I.L : B201446/1)

Conclusion

จะเห็นได้ว่าทั้งสองผลิตภัณฑ์แม้จะมีหน้าตาที่คล้ายกัน เนื้อสัมผัสถ้าไม่ลองทาลงบนหน้าจริง ๆ ก็อาจจะแยกได้ยาก แต่ในแง่ส่วนประกอบนั้นมันแตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัดและมีจุดเด่นที่เฉพาะตัวมาก ในขณะที่ Lancôme : Advanced Génifique Youth Activating Serum  จะมีส่วนผสมที่ดูแลในเรื่องของริ้วรอยและเรื่องของไวท์เทนนิ่งเพิ่ม แต่ Lancôme : Advanced Génifique Sensitive Youth Activating + Sensitivity Soothing Serum จะเน้นไปที่การทำงานของผิวชั้นนอกเพื่อให้ผิวแข็งแรงและพร้อมรับกับสิ่งรบกวนภายนอก เน้นไปที่การต้านอนุมูลอิสระจากส่วนประกอบที่หลากหลายช่วย ต้านการระคายเคือง ลดการอักเสบ และมีส่วนผสมในการเพิ่มความชุ่มชื่นที่มากกว่า

เนื้อสัมผัสของผลิตภัณฑ์มีความคล้ายกัน แต่ Advanced Génifique จะมีความบางเบากว่าเล็กน้อย ส่วน Génifique Sensitive จะมีความชุ่มชื่นบนผิวที่มากกว่า

ทั้งสองผลิตภัณฑ์นี้เรามองว่าเป็นผลิตภัณฑ์ที่สามารถใช้ได้ทุกวันทั้งคู่เลย ถ้าจะใช้ทั้งสองอย่างคู่กันเรามองว่า Advanced Génifique จะเหมาะกับตอนกลางวัน ส่วน Génifique Sensitive จะใช้ตอนกลางคืนเพราะมีเนื้อที่เข้มข้นกว่าเล็กน้อย

แต่ถ้าอยากจะเลือกตัวเดียว Génifique Sensitive น่าจะเหมาะกับคนที่อยากเน้นเรื่องความแข็งแรงของผิว ความชุ่มชื่น และการฟื้นฟูผิวที่เข้มข้นกว่า อย่างเช่นผิวที่มีปัญหาจากการเดินทางด้วยเครื่องบิน เจ็ทแล็ก หรือในช่วงที่เราพักผ่อนน้อย หรือผิวที่รู้สึกว่าใช้อะไรผิวก็ยังแห้งไม่สามารถเก็บกักความชุ่มชื่นได้เพราะผิวอ่อนแอ ส่วน Advanced Génifique จะเหมาะสำหรับคนที่ผิวไม่ได้มีปัญหาอ่อนแออะไรนักและอยากโฟกัสไปที่การป้องกันร้ิวรอยและความกระจ่างใสไปในตัว

หวังว่าข้อมูลทั้งหมดนี้จะช่วยให้ทุกคนรู้ว่าสองผลิตภัณฑ์นี้แตกต่างกันอย่างไรและสามารถเลือกปรับใช้ให้เหมาะกับตัวเองได้ไม่มากก็น้อยนะฮะ