ย้อนกลับไปเมื่อปี 2016 ในช่วงเวลาเดียวกันนี้เอง ปูเป้ได้ไป New York เป็นครั้งแรกและก็ได้ทำตามความฝันของตัวเองอีกหนึ่งอย่างคือไปแวะร้าน Kiehl’s สาขาแรกที่ 109 3rd Ave ซึ่งสวยงามและมีผลิตภัณฑ์เยอะแยะมากมายซึ่งหลายตัวไม่มีขายในบ้านเรารมไปถึงผลิตภัณฑ์สำหรับหรูมมิ่งสัตว์เลี้ยงอย่างสุนัขและม้าด้วย บรรยากาศในร้านทั้งโคมไฟระย้า รถมอเตอร์ไซค์สุดเท่ ตู้เก็บของที่เป็นตู้ยาแบบโบราณ นี่คือสถานที่เป็นต้นแบบของร้าน Kiehl’s ทุกสาขาทั่วโลก เพียงแต่สิ่งที่แตกต่างคือร้านนี้มี Mr.Bone ที่เป็นกระดูกมนุษย์จริง ๆ ซึ่งอยู่มาตั้งแต่สมัยร้านยังเป็นร้านขายยาเลยนะ

การมาเมือง New York ในครั้งนี้ก็ได้พบกับผลิตภัณฑ์ใหม่ที่พึ่งเปิดตัวครั้งแรกในปีนั้นและในช่วงแรกที่เปิดตัวก็มีแค่ที่สาขานี้เพียงสาขาเดียวด้วย นั่นก็คือ Kiehl’s : Apothecary Preparations (20ml + 5ml x 2 / 3,800 Baht) ผลิตภัณฑ์ที่ออกมารับกับเมกะเทรนด์ของ Customized / Personalized Skincare และมันน่าเล่นม๊ากกกกก

คอนเซปต์ก็ตรงไปตรงมา นั่นคือการเป็นผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่เข้มข้น ทรงประสิทธิภาพ และเลือกปรับแต่งคุณสมบัติได้ตามปัญหาผิวที่เราต้องการดูแลเป็นพิเศษ ซึ่งเราจะเดินดุ่มเข้าไปหยิบมาจ่ายเงินเฉย ๆ เลยไม่ได้ แต่มีหลักสูตรบังคับคือจะต้องมีการพูดคุยกับ KCR เพื่อทำการประเมิณและวิเคราะห์สภาพผิวร่วมกันเสียก่อน โดยเขาจะมีสมุด Skin Atlas ฉบับย่อมาจากที่แพทย์ผิวหนังใช้เพื่อวิเคราะห์เกรดของผิวในแง่มุมต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องริ้วรอย ความสม่ำเสมอของสีผิว รอยแดง รูขุมขน และความเรียบเนียน เพื่อให้เราได้นั่งลงพินิจผิวของตัวเองร่วมกันก่อนจะลงผลที่เราเลือกในแบบสอบถามจนได้สิ่งที่ต้องการดูแลเป็นพิเศษมากที่สุด 2 อันดับแรก โดยพนักงาน KCR จะทำการทดลองผสมสูตรที่เราเลือกในหลอดขนาดเล็กเพื่อให้เราทดลองเนื้อสัมผัสดูก่อน หากทุกอย่างแฮปปี้ก็จะทำการพิมพ์ฉลากสำหรับปิดที่ขวดและกล่อง และเราก็จะได้ Apothecary Preparations สูตรที่ตอบโจทย์เราที่สุดนั่นเอง

ในชุดที่เราได้กลับมาที่บ้าน บนฉลากจะระบุชื่อของเรา ชื่อของพนักงานที่ให้คำปรึกษา วันเดือนปีที่มาซื้อผลิตภัณฑ์ชิ้นนี้ รวมไปถึงเบอร์ติดต่อกลับของทางร้านเผื่อถ้ามีข้อสงสัยใด ๆ เพิ่มเติมก็สามารถโทรกลับมาสอบถามพนักงานได้ และในกล่องจะประกอบไปด้วยผลิตภัณฑ์ 3 ชิ้น ประกอบไปด้วย Skin Strengthening Concentrate เป็นตัวเบสพื้นฐานที่เหมือนกันทุกคน และ Complex ที่เลือกให้ตรงกับสิ่งที่เราต้องการดูแลอีก 2 หลอด

เวลาใช้ก็แค่เปิดขวดของ Skin Strengthening Concentrate ออกก่อนที่จะเปิดฝาของ Complex และบีบใส่ลงไปจนหมดทั้ง 2 หลอด ปิดฝาให้สนิทหลังจากนั้นก็เขย่าขวดให้เข้ากัน และสามารถนำมาใช้บำรุงผิวเป็นขั้นตอนของเซรั่มได้ตามปกติ หรือหากมีเซรั่มตัวอื่นที่ใช้อยู่แล้ว ก็สามารถใช้เป็นขั้นตอนสุดท้ายของเซรั่มทั้งหมด โดยปริมาณในการใช้เพียง 2 – 3 หยดและวอร์มทั่วฝ่ามือก่อนกดเบา ๆ ลงบนผิวหน้าและลำคอ ซึ่งเราแนะนำให้เพิ่มจำนวนอีกเล็กน้อยเพื่อแตะลงบนผิวบริเวณเนินอกและไหล่ด้วย เพราะเป็นส่วนของผิวที่เผยให้เห็นบ่อย เป็นจุดที่แสดงริ้วรอยและความเสื่อมของผิวได้ง่าย แต่ในขณะเดียวกันก็มักจะถูกละเลยได้ง่ายเช่นกัน


 

ข้อมูลสำคัญที่ต้องทราบคือแม้ Apothecary Preparations จะถือเป็นขั้นตอนของเซรั่มหรือทรีตเมนต์บำรุงผิวเข้มข้น แต่มันไม่ใช่เซรั่มเบสน้ำแบบทั่ว ๆ ไป แต่เป็นเบสน้ำมันล่ะ เหตุผลก็เพราะว่าการใช้เบสน้ำมันจะมีความปลอดภัยสูงเมื่อผู้ใช้นำส่วนผสมทั้งหมดมาผสมเองเนื่องจากเป็นเบสที่ไม่เอื้อต่อการเจริญเติบโตของจุลชีพ และในการผสมก็จะหมดปัญหาเรื่องความเข้ากัน ปัญหาการแยกชั้น หรือเรื่องความเสถียร  ไม่นับอีกว่าในปัจจุบันนี้เทรนด์ของการใช้ออยล์หรือน้ำมันจากธรรมชาติมาบำรุงผิวได้รับความนิยมอย่างสูงไปทั่วโลก และในประเทศไทยเองเราเริ่มเห็นการยอมรับขั้นตอนของการใช้ส่วนผสมของน้ำมันมาบำรุงผิวกันมากขึ้นในช่วงราว 1 – 2ปี ที่ผ่านมานี้ โดยเฉพาะในกลุ่มที่มีความเข้าใจในเรื่องของสกินแคร์ในระดับหนึ่งและสามารถก้าวข้ามผ่านการตลาดที่ฟาดน้ำมันให้เป็นปีศาจตัวร้ายไปได้เพราะผิวที่ดีคือผิวที่มีสมดุลของน้ำและน้ำมัน แต่อย่างไรก็ดีไม่ใช่น้ำมันทุกชนิดจะดีกับผิวเหมือนกันไปทั้งหมด ซึ่งรายละเอียดในส่วนนี้เราจะบอกเหตุผลได้ในส่วนของส่วนผสมผลิตภัณฑ์ที่อยู่ด้านล่างนี้

ในปัจจุบันนี้การทำให้ผิวชั้นนอกแข็งแรงนั้นถือเป็นเรื่องที่ถูกให้ความสำคัญมากเพราะนี่คือพื้นฐานของการมีผิวที่ดีที่พวกเราทุกคนอยากได้ คือไม่ว่าจะอยากผิวใส อ่อนเยาว์ ไร้สิว ต่างก็ต้องมีพื้นฐานของผิวที่แข็งแรงทั้งนั้น  ผิวที่เราอยากบำรุงดูแลให้มันสวยงามตามแบบที่เราต้องการนั้นทำหน้าที่หลัก ๆ ปกป้องอวัยวะภายในจากสิ่งรบกวนภายนอกไม่ให้เข้าและไม่ให้ความชุ่มชื่นจากภายในระเหยออกมากจนเกินไป ผิวชั้นนอกสุดที่เป็นปราการปกป้องผิวอย่างชั้นหนังกำพร้า (Stratum Corneum) นั้นมีส่วนสำคัญมากต่อคุณภาพโดยรวมของผิว

ชั้นปกป้องผิวประกอบไปด้วยส่วนหลัก ๆ ของเซลล์เคราติซ้อนทับเป็นเหมือนก้อนอิฐและโครงสร้างของ  Extracellular Lipid Matrix อยากพวกกรดไขมันต่าง ๆ ไซราไมด์ คอเลสตอรอล และอื่น ๆ เรียงตัวเป็นชั้นแทรกอยู่ระหว่างเซลล์เคราตินเพื่อสร้างชั้นที่ช่วยกันการระเหยของของน้ำและเป็นตัวกันการแทรกผ่านจากสิ่งแปลกปลอมภายนอก แต่ด้วยเงื่อนไขต่างๆ ทั้งมลภาวะภายนอก ผลิตภัณฑ์ที่เราใช้กับผิว อาหารที่เรากิน หรือแม้แต่ปัจจัยทางพันธุกรรมบางอย่างที่ส่งผลต่อการลดน้อยถอยลงของส่วนผสมสำคัญใน Extracellular Lipid Matrix เหล่านี้ จะทำให้ปราการปกป้องผิวอ่อนแอลง นำไปสู่ปัญหาสารพัดอย่าง ขาดความชุ่มชื้น หยาบกร้าน ผิวระคายเคือง อักเสบ มีโอกาสแพ้ง่ายขึ้น และอาจจะจะมีกระตุ้นการผลิตน้ำมันมากจนเกินไป ผิวดูไม่สดใส เรียกได้ว่าถ้าผิวชั้นนี้อ่อนแอก็เตรียมเจอพาเหรดของปัญหาผิวสารพัดได้เลย

ดังนั้นถ้าคุณยังยกความคิดว่าน้ำมันเป็นปีศาจร้ายและต้องหลีกเลี่ยงออกไปไม่ได้ ผลิตภัณฑ์ตัวนี้อาจจะไม่เหมาะกับคุณ แต่ถ้าคุณก้าวผ่านสิ่งนั้นมาได้ ขอต้อนรับสู่ผลิตภัณฑ์ที่ให้คุณสมบัติในการบำรุงผิวเสริมความแข็งแรงนุ่มนวลดั่งออยล์บำรุงผิวคุณภาพดี แต่ที่มีมากกว่านั้นคือสาร Actives ในระดับเข้มข้นเท่าเซรั่มที่อัดมาเต็ม!!! แถมเลือกได้ตามใจฉันอีกด้วยนะเออ

ร่ายมายาวแล้ว เรามาดูกันว่าในส่วนประกอบของ Skin Strengthening Concentrate และ Complex ทั้ง 5 สูตร มีอะไรน่าสนใจบ้าง

Skin Strengthening Concentrate

ส่วนประกอบของตัวเบสนี้เน้นไปที่การคืนกรดไขมันและสารที่จำเป็นสู่ชั้นปราการปกป้องผิวเพื่อทำให้ผิวกลับมาแข็งแรงนั่นเอง โดยตัวหลักคือ Squalane ที่ได้มาจากผลมะกอก เป็นรูปแบบที่เสถียรของ Squalene ที่มีอยู่ในผิวของเราตามธรรมชาติจึงมีความเข้ากันกับผิวได้ดีเวลาทาลงไป ในเบสนี้ยังมีส่วนประกอบของน้ำมันจากพืชอีกหลายชนิดที่ผสมกันอย่าง Prunus Armeniaca (Apricot) Kernel Oil ที่อุดมไปด้วยกรดไขมันอย่าง Oleic Acid (Omega 9) และ Linoleic Acid (Omega 6) กับ Coriandrum Sativum (Coriander) Seed Oil ที่ตัวหลักเป็น Linoleic Acid (Omega 6) และรองลงมาด้วย Linonic Acid (Omega 3) ส่วน Ribes Nigrum (Black Currant) Seed Oil ก็มากไปด้วย Linoleic Acid (Omega 6) กับ Linolenic Acid  (Omega 3) และ Echium Plantagineum Seed Oil ซึ่งเป็นแหล่งของ Linolenic Acid (Omega 3) ที่สูงมาก ส่วน Glycine Soja (Soybean) Oil หรือน้ำมันถั่วเหลืองถูกใช้ในปริมาณที่ไม่มากน่าจะใช้มาเพื่อเสริมในส่วนของกรดไขมันบางอย่างและ Cholesterol มากกว่า นอกจากกรดไขมันที่ถูกนำมากล่าวถึงแล้ว ในน้ำมันพืชเหล่านี้ยังมีกรดไขมันอื่น ๆ ที่มีอยู่ในผิวตามธรรมชาติอย่าง ​Stearic Acid และ Palmitic Acid อีกด้วย

กรดไขมันที่พูดถึงนี้ค่อนข้างสำคัญทีเดียว เพราะกรดไขมันหลัก ๆ ที่พูดถึงมีผลต่อสมดุลของกรดไขมันบนผิวซึ่งส่งผลต่อความแข็งแรงของปราการปกป้องผิวโดยตรง การศึกษาหนึ่งที่น่าสนใจได้ทดสอบการทาน้ำมันที่มี Oleic Acid (Omega 9) สูงอย่างน้ำมันมะกอก เทียบกับน้ำมันที่มีกรด Linoleic Acid (Omega 6) สูงอย่างน้ำมันดอกทานตะวันในกลุ่มทดลองที่มีประวัติเป็นโรคผิวหนังอักเสบ (Atopic Dermatitis) เป็นระยะเวลา 4 สัปดาห์ ผลปรากฏว่าน้ำมันมะกอกมีผลในแง่ลบกับความแข็งแรงของผิวชั้นนอกและก่อให้เกิดอาการแดงในกลุ่มผู้ทดสอบ ในขณะที่น้ำมันจากเมล็ดดอกทานตะวันไม่มีผลกระทบตรงนี้และยังทำให้ผิวของผู้ทดสอบมีความชุมชื่นมากขึ้นอันบ่งบอกถึงการทำงานของชั้นปกป้องผิวที่แข็งแรงขึ้น

แม้การทดสอบนี้จะเป็นกลุ่มที่ค่อนข้างเล็ก แต่ก็มีข้อมูลการศึกษาอื่น ๆ ที่สอดคล้องกันอย่างเช่นการศึกษาที่ระบุว่า Oleic Acid (Omega 9) ทำให้เกิดรูเล็ก ๆ ในชั้น Lipid ระหว่างเซลล์ผิวชั้นนอกซึ่งทำให้สารซึมผ่านชั้นปกป้องผิวได้มากขึ้น ซึ่งสามารถบอกได้ว่ามันอาจจะใช้ประโยชน์ในการเป็นช่องทางหนึ่งในการนำพาสารหรือตัวยาแทรกเข้าสู่ผิวแต่ในอีกมุมก็เป็นข้อมูลที่บ่งชี้ว่าการทาน้ำมันที่มีกรดไขมันตัวนี้เป็นหลักบนผิวนั้นอาจจะไม่ใช่เรื่องที่ดีเท่าไหร่ในรายที่ผิวมีปัญหาหรืออ่อนแอ  ในทางตรงกันข้ามก็มีข้อมูลที่สนับสนุนหลายอย่างว่า Linoleic Acid (Omega 6) นั้นมีส่วนสำคัญต่อความแข็งแรงของชั้นปกป้องผิวเพราะสัตว์ทดลองที่ขาดกรดไขมันตัวนี้จะมีผิวที่อ่อนแอลงอย่างมาก และการศึกษาเกี่ยวกับการรับประทานน้ำมันหรือการทาน้ำมันที่มีกรดไขมันชนิดนี้อยู่มากจะช่วยทำให้ผิวแข็งแรงชุ่มชื่นขึ้น

Linolenic Acid (Omega 3) ก็เป็นกรดไขมันจำเป็นที่ช่วยต้านการอักเสบ ต้านอนุมูลอิสระ มีประโยชน์มากกับผิวในหลายด้าน การทาผลิตภัณฑ์ที่มีปริมาณของ Omega 3 และ 6 จึงมีผลดีกับผิวอย่างไม่ต้องสงสัย

 

ดังนั้นในแง่ของส่วนประกอบของ Skin Strengthening Concentrate นั้น ดูเหมือนจะเป็นเป็นการพยายามผสมรวมน้ำมันจากพืชที่มีสัดส่วนที่โดดเด่นของกรดไขมันต่าง ๆ ที่ตอบโจทย์ต่อการเสริมความแข็งแรงผิวให้มากที่สุด แต่ประเด็นสำคัญก็คือสัดส่วนนี่แหล่ะว่ามันจะลงตัวแค่ไหนซึ่งเป็นข้อมูลที่ลึกเกินที่ส่วนผสมข้างกล่องจะบอกเราได้ อย่างไรก็ดีจากประสบการณ์ของเรา การที่แบรนด์ใหญ่ ๆ จะเคลมอะไรหรือตั้งชื่อผลิตภัณฑ์อะไร เขาจะต้องมีการทดสอบผลิตภัณฑ์ที่วางจำหน่ายในประเด็นดังกล่าวเพื่อเป็น Claim Support เวลาขอ FDA หรือ อย. ในประเทศที่นำไปจำหน่ายด้วย อันนี้ก็ต้องพึ่ความน่าเชื่อถือของแบรนด์ไปส่วนหนึ่งล่ะ

นอกจากน้ำมันของพืชที่กล่าวมานี้ก็มีส่วนของ emollient ต่าง ๆ ที่ช่วยปรับเนื้อสัมผัสให้น่าใช้มากขึ้น และส่วนผสมของวิตามินอีในรูป Tocopherol และวิตามินซีชนิดที่ละลายในน้ำมันอย่าง Ascorbyl Palmitate เพื่อเป็นแอนติออกซิแดนท์ในการยืดอายุผลิตภัณฑ์ช่วยกันหืน เบสตัวนี้ไม่มีส่วนผสมของสารกันเสีย ​(เพราะไม่มีส่วนประกอบของน้ำจึงไม่มีอะไรให้เชื้อโรคหรือจุลชีพเติบโตได้) และไม่มีส่วนผสมของน้ำหอมหรือสารกลุ่ม Frgrance Component จึงบอกได้ว่า Coriandrum Sativum (Coriander) Seed Oil ไม่ใช่น้ำมันหอมระเหย แต่เป็นน้ำมันที่แยกเอาออกมาเฉพาะส่วนที่ไม่มีกลิ่นหอมออกมาใช้เท่านั้น

ส่วนผสมของตัวเบสทั้งหมดนี้ยังเป็นส่วนประกอบหลักในส่วนของ Complex สูตรต่างๆ  ด้วยเพื่อละลายสารบำรุงที่ใส่ลงไปและเพื่อให้ตัว Complex แต่ละสูตรสามารถนำมาผสมกับตัวเบส Skin Strengthening Concentrate ได้เข้ากันอย่างสมบูรณ์แบบ

(Source : Essential Fatty Acids and Skin HealthEffect of olive and sunflower seed oil on the adult skin barrier: implications for neonatal skin care., The permeability barrier in essential fatty acid deficiency: evidence for a direct role for linoleic acid in barrier function.Repair and Maintenance of the Epidermal Barrier in Patients Diagnosed with Atopic Dermatitis, Impact of topical oils on the skin barrier: possible implications for neonatal health in developing countries., Optimal ratios of topical stratum corneum lipids improve barrier recovery in chronologically aged skin, Mechanism of oleic acid-induced skin penetration enhancement in vivo in humans, Oil and fatty acid accumulation during coriander (Coriandrum sativum L.) fruit ripening under organic cultivationEffect of topically applied lipids on surfactant-irritated skin.)

Ingredients : Squalane, Octyldodecanol, Dicaprylyl Ether, Prunus Armeniaca (Apricot) Kernel Oil, Coriandrum Sativum (Coriander) Seed Oil, Hexyldecanol, Ribes Nigrum (Black Currant) Seed Oil, Echium Plantagineum Seed Oil, Tocopherol, Glycine Soja (Soybean) Oil, Ascorbyl Palmitate. F.I.L Code D189541/1

Texture Refining Complex

เป็นคอมเพล็กซ์ที่ช่วยเสริมการทำให้ผิวเนียนละเอียดขึ้นด้วยการผลัดเซลล์ผิวเสื่อมสภาพ ส่วนผสมหลักคือ Capryloyl Salicylic Acid หรือ LHA ที่ผลัดเซลลืผิวอย่างอ่อนโยน ทางแบรนด์ยังเคลมถึงส่วนผสมของ Vitamin F ไว้ด้วย

Vitamin F เป็นคำที่ถูกประดิษฐ์ขึ้นเพื่อใช้สื่อถึงสารกลุ่ม Essential Fatty Acid หรือกรดไขมันจำเป็น ไม่ใช่คำศัพท์อย่างเป็นทางการ สารกลุ่มกรดไขมันจำเป็นที่ว่าหลัก ๆ ก็คือ Linoleic Acid (Omega 6) และ Linonic Acid (Omega 3) นั่นเอง ซึ่งก็เป็นส่วนประกอบของกรดไขมันจำเป็นที่อยู่ในน้ำมันสกัดจากพืชที่ถูกเอาใช้ในเบสอยู่แล้ว แต่ตัวนี้มีการเพิ่มของ Glyceryl Linoleate และ Glyceryl Linolenate เพิ่มขึ้นมาด้วย อาจทำให้การใส่คอมเพล็กซ์สูตรนี้ทำให้มีปริมาณของ Linoleic Acid (Omega 6) และ Linonic Acid (Omega 3) โดดเด่นกว่าสูตรอื่นก็เป็นได้ และแม้ว่า complex สูตรอื่นจะมี LHA ผสมอยู่บ้าง แต่สูตรนี้ดูจะมีความเข้มข้นของ LHA สูงที่สุด

Ingredients : Squalane, Dicaprylyl Ether, Octyldodecanol, Prunus Armeniaca (Apricot) Kernel Oil, Coriandrum Sativum (Coriander) Seed Oil, Glyceryl Linoleate, Glyceryl Oleate, Hexyldecanol, Capryloyl Salicylic Acid, Ribes Nigrum (Black Currant) Seed Oil, Echium Plantagineum Seed Oil, Tocopherol, Citrus Ladaniferus Oil, Glyceryl Linolenate, Glycine Soja (Soybean) Oil, Limonene, Linalool, Ascorbyl Palmitate, Geraniol. F.I.L Code D189532/1

Visible Redness Neutralizing Complex

ส่วนผสมหลักคือ Helianthus Annuus (Sunflower) Seed Oil Unsaponifiables ซึ่งน่าจะเป็นส่วนผสมที่มีชื่อทางการค้าว่า Soline® ของงบริษัท Laboratoires Expanscience ซึ่งเคลมว่าเป็นการสกัดเอาสารกลุ่ม Sterols มาเพื่อกระตุ้นการสร้าง Lipid ในชั้นผิวตามธรรมชาติอย่างเช่นพวก Ceramide และ Cholesterol จึงทำให้ผิวแข็งแรงขึ้นและลดการระคายเคือง

(Source : Impact of topical oils on the skin barrier: possible implications for neonatal health in developing countries.)

Ingredients : Squalane, Octyldodecanol, Dicaprylyl Ether, Helianthus Annuus (Sunflower) Seed Oil Unsaponifiables, Prunus Armeniaca (Apricot) Kernel Oil, Coriandrum Sativum (Coriander) Seed Oil, Hexyldecanol, Ribes Nigrum (Black Currant) Seed Oil, Echium Plantagineum Seed Oil, Tocopherol, Glycine Soja (Soybean) Oil, Ascorbyl Palmitate. F.I.L Code D189538/1

 

Pore Minimizing Complex

ทางแบรนด์เคลมถึงส่วนผสมหลักสองอย่างคือ Samphira Oil (Crithmum Maritimum Extract) และ Salicylic Acid แต่จริง ๆ มีมากกว่านั้น

Crithmum Maritimum Extract เป็นสารสกัดจากพืชที่ขึ้นในแนวหินริมชายหาดหรือริมทะเลของยุโรป จากการลองหาข้อมูลดูก็มีบริษัทใหญ่ ๆ อย่าง Seppic และ Codif ซึ่งเคลมของทาง Codif ดูจะสอดคล้องกับเคลมของผลิตภัณฑ์ตัวนี้มากกว่า โดยเคลมว่าทำงานคล้ายกับสารกลุ่มเรตินอยด์โดยไม่มีผลกระทบเรื่องการระคายเคืองในการช่วยเสริมการผลัดเซลล์ผิวและต้านการอักเสบที่จะไปกระตุ้นการผลิตน้ำมันส่วนเกินได้  Salicylic Acid หรือ BHA สามารถละลายในน้ำมันแทรกลงไปรูขุมขนเพื่อลดการอุดตันได้

แต่นอกจากส่วนผสมทั้งสองตัวนี้แล้ว ตัวนี้ยังมีวิตามินซีในรูป Ascorbyl Tetraisopalmitate ในปริมาณเยอะพอสมควร ซึ่งน่าจะเข้ามาเพื่อเสริมเคลมของวิตามินซีในการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนซึ่งทำให้ผิวแน่นขึ้นเลยอาจทำให้รูขุมขนที่บานเบิกจากอันมีสาเหตุจากความแน่นนอนผิวน้อยลงเพราะวัยที่เพิ่มขึ้นแลดูเล็กลงได้ และผลิตภัณฑ์ตัวนี้ยังมี Capryloyl Salicylic Acid หรือ LHA อยู่ด้วย

Ingredients : Squalane, Ascorbyl Tetraisopalmitate, Prunus Armeniaca (Apricot) Kernel Oil, Coriandrum Sativum (Coriander) Seed Oil, Octyldodecanol, Caprylic/Capric Triglyceride, Hexyldecanol, Anthemis Bobilis Flower Oil, Salicylic Acid, Ribes Nigrum (Black Currant) Seed Oil, Echium Plantagineum Seed Oil, Tocopherol, Capryloyl Salicylic Acid, Crithmum Maritimum Extract, Glycine Soja (Soybean) Oil, Limonene, Linalool, Ascorbyl Palmitate. F.I.L Code D189535/1

 

Wrinkle Reducing Complex

ส่วนผสมหลักคือวิตามินเอในรูป Retinol และ Pro-Retinol อย่าง Retinyl Palmitate โดยตามหลักแล้ว Retinyl Palmitate เมื่อทาลงไปบนผิวจะถูกเปลี่ยนไปเป็น Retinol และก็เปลี่ยนรูปไปเป็น Retinaldyhyde ก่อนจะกลายเป็น Tretinoin เพื่อจับเข้ากับตัวรับในผิวและทำหน้าที่ของมันต่อไป ส่วนผสมของวิตามินเอเหมือนมาตรฐานของสารต่อต้านริ้วรอยของวงการเครื่องสำอางและวงการแพทย์เพราะมันถูกศึกษาและทดสอบมาเยอะมากที่สุดตัวหนึ่งก็ว่าได้ ปัจจุบันเรามีข้อมูลที่เด่นชัดแล้วว่าการทา Retinol ลงบนผิวนั้นจะช่วยเสริมการทำงานของผิวชั้นนอก กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนเพื่อเป็นโครงสร้างให้กับผิวเพื่อลดร้ิวรอย และยังสามารถกระตุ้นการสร้างอีลาสตินเพื่อช่วยเรื่องความกระชับยืดหยุ่นของผิวโดย complex หลอดนี้มีปริมาณของ Retinol และ Retinyl Palmitate รวมกัน 1.5% ในหลอด 5 มิลลิลิตร ซึ่งเป็นปริมาณสูงที่สุดที่จะใช้จำหน่ายได้ทั่วโลกโดยไม่ติดในข้อกฏหมาย แต่เมื่อเราผสมเจ้า complex นี้ลงไปในขวด Skin Strengthening Concentrate ความเข้มข้นที่แท้จริงหลังผสมของ Retinol และ Retinyl Palmitate จะเจอจางไปจนเหลือสัดส่วน 1/6 ซึ่งเท่ากับ 0.25% ซึ่งก็เป็นปริมาณที่เรามองว่ามนุษย์เรา ๆ ทั่วไปทั่วไปน่าจะใช้ได้สบาย ๆ และก็คาดหวังผลจากสิ่งนี้ได้เมื่อใช้อย่างต่อเนื่อง

เนื่องจากธรรมชาติของผลิตภัณฑ์ที่มี Retinol เป็นตัวหลัก complex ตัวนี้จะใช้ได้เฉพาะในเวลากลางคืนเท่านั้น  และใส่ใจกับการทากันแดดมากเป็นพิเศษในตอนกลางวันด้วยนะ

complex ตัวนี้มีการเพิ่มส่วนผสมของ Helianthus Annuus (Sunflower) Seed Oil ซึ่งเป็นน้ำมันที่มีสัดส่วนของ Lipid ที่ใกล้เคียงกับผิวตามธรรมชาติและช่วยเสริมเรื่องปราการปกป้องผิว กับน้ำมันหอมระเหย Pelargonium Graveolens Flower Oil ที่มีข้อมูลส่วนหนึ่งว่าช่วยต้านการอักเสบได้ น่าจะใส่มาเพื่อลดโอกาสระคายเคืองจากสารกลุ่มวิตามินเอที่ใส่มา แต่ก็เพิ่มในส่วนของ fragrance component มาด้วย

(Source : Retinoids in the treatment of skin aging: an overview of clinical efficacy and safety, A novel anti-ageing mechanism for retinol: induction of dermal elastin synthesis and elastin fibre formation., Rose geranium essential oil as a source of new and safe anti-inflammatory drugs, Repair and Maintenance of the Epidermal Barrier in Patients Diagnosed with Atopic Dermatitis, Influence of sunflower seed oil on the skin barrier function of preterm infants: a randomized controlled trial.)

Ingredients : Squalane, Octyldodecanol, Dicaprylyl Ether, Prunus Armeniaca (Apricot) Kernel Oil, Coriandrum Sativum (Coriander) Seed Oil, Glycine Soja (Soybean) Oil, Hexyldecanol, Ribes Nigrum (Black Currant) Seed Oil, Echium Plantagineum Seed Oil, Tocopherol, Retinol, Retinyl Palmitate, Pelargonium Graveolens Flower Oil, Helianthus Annuus (Sunflower) Seed Oil, Capryloyl Salicylic Acid, Citronellol, Geraniol, Linalool, Citral, Limonene, Ascorbyl Palmitate. F.I.L Code D189399/1

 

Brightening Complex

ตัวหลักเลยคงจะเป็น Scotch Pine Extract (Phenylethyl Resorcinol) และวิตามินซีในรูป Ascorbyl Tetraisopalmitate

Phenylethyl Resorcinol หรือ SymWhite® 377 ทำงานโดยขัดขวางการทำงานของ Tyrosinase ไม่ให้พัฒนาไปเป็น L-DOPA ซึ่งเป็นขั้นตอนแรกของกระบวนการผลิตเม็ดสี สารตัวนี้ยังมีคุณสมบัติในการต้านอนุมูลอิสระที่สูง และยังลดการอักเสบจากการขัดขวาง IL-1-a และ TNF-a ด้วย ซึ่งการลดการอักเสบ (Inflammation) นี้จะไปลดการกระตุ้นการทำงานของเซลล์ผลิตเม็ดสี (Melanocyte) ตั้งแต่แรกด้วย โดยส่วนตัวชอบสารตัวนี้นะ ส่วนวิตามินซี Ascorbyl Tetraisopalmitate เป็นอนุพันธ์วิตามินซีที่ละลายในน้ำมัน ตามหลักแล้วก็ควรจะแทรกเข้าสู่ผิวได้ดีแหล่ะ และก็พึ่งมีข้อมูลล่าสุดว่ามันก็แทรกเข้าได้จริง ๆ การทำให้วิตามินซีละลายในน้ำมันได้จะช่วยทำให้มันต้านอนุมูลอิสระให้กับพวก lipid ในผิวได้ดีกว่าวิตามินซีปกติที่ละลายในน้ำ นอกจากนี้ก็มี Capryloyl Salicylic Acid หรือ LHA ช่วยผลัดเซลล์ผิว

(Source : In vitro antioxidant activity and in vivo efficacy of topical formulations containing vitamin C and its derivatives studied by non-invasive methods., Assessment of penetration of Ascorbyl Tetraisopalmitate into biological membranes by molecular dynamics.)

ทางแบรนด์บอกว่าใน complex หลอดขนาด 5ml นี้ มีปริมาณของวิตามินซี และ Phenylethyl Resorcinol รวมกันมากถึง 33%  ดังนั้นเมื่อเราผสมเจ้า complex นี้ลงไปในขวด Skin Strengthening Concentrate ความเข้มข้นจริง ๆ ของสารสองตัวนี้ในผลิตภัณฑ์ที่ผสมแล้วจะอยู่ที่ 5.5% ซึ่งเราก็เดาว่า น่าจะเป็นวิตามินซี 5% และ Phenylethyl Resorcinol 0.5% ซึ่งเป็นความเข้มข้นที่ผู้ผลิตแนะนำให้ใช้  ซึ่งก็ถือว่าน่าประทับใจเลยล่ะ

อ้อ ตัวนี้แต่งกลิ่นด้วยน้ำมันผิวส้มนะ

Ingredients : Squalane, Ascorbyl Tetraisopalmitate, Prunus Armeniaca (Apricot) Kernel Oil, Coriandrum Sativum (Coriander) Seed Oil, Octyldodecanol, Phenylethyl Resorcinol, Hexyldecanol, Citrus Aurantium Dulcis (Orange) Peel Oil, Limonene, Ribes Nigrum (Black Currant) Seed Oil, Echium Plantagineum Seed Oil, Tocopherol, Capryloyl Salicylic Acid, Glycine Soja (Soybean) Oil, Linalool, Citral, Ascorbyl Palmitate, Geraniol. F.I.L Code D189529/1

นั่นคือทั้งหมดของ Apothecary Preparations สกินแคร์ตัวใหม่ที่ปรับตามผิวของเราที่เปลี่ยนไป เราตัดสินใจทำตัวนี้เป็น Preview แทนที่จะ Review เพราะเราก็ยังไม่ได้ลอง Complex ครบทุกสูตร เพราะชุดนึงบอกเลยว่าใช้ได้อย่างต่ำ 3 – 4 เดือน (นี่คือแบบขยันใช้ประจำแล้วนะ) และเราก็ไม่แน่ใจว่าแต่ละการเลือกจับคู่มันมีผลต่างกันอย่างไรบ้าง เราจึงไม่มีข้อมูลมากพอจะให้คะแนนได้แต่ก็หวังว่า ข้อมูลที่ให้ไปทั้งหมดนี้จะมากพอที่จะทำให้ทุกคนตัดสินใจได้ง่ายขึ้นว่าสิ่งนี้ควรโดนหรือเหมาะตอบโจทย์หรือไม่

โดยภาพรวมเรามองว่า Apothecary Preparations เป็นเหมือนกับสกินแคร์ที่รวบขั้นตอนของสารพัดเซรั่มที่สารบำรุงจัดมาในความเข้มข้นที่น่าประทับใจรวมเข้ากับออยล์บำรุงผิวที่ถูกเบลนด์ผสมกันเป็นอย่างดีในหนึ่งเดียว สามารถทำให้ขั้นตอนการบำรุงผิวของเราเรียบง่าย หรือใครที่ชอบเยอะขั้นตอนจะสามารถใช้ควบคู่กับเซรั่มอื่น ๆ ที่มีอยู่และถ้าเราเลือกเป็นอย่างดีว่าผลิตภัณฑ์เซรั่มที่เราใช้คู่กันนั้นมีส่วนผสมที่ต่างกันหรือทำงานสอดประสานกันได้ก็เท่ากับว่าจะได้สารบำรุงผิวที่หลากหลายและครอบคลุมมากขึ้นนั่นเอง

เราคิดว่า Kiehl’s ทำตัวนี้ออกมาได้ค่อนข้างดี โดย Actives ที่เลือกมาจะหลบเลี่ยงความซ้ำซ้อนกับเซรั่มที่ตัวเองมีอยู่ในระดับหนึ่งเลยล่ะ ยกตัวอย่างเช่นตัว Brightening Complex ที่สารไวท์เทนนิ่งและรูปแบบของวิตามินซีก็แตกต่างกับ Dark Spot Solution ที่ขายดีของเขาจึงใช้ร่วมกันได้ และ Wrinkles Reducing Complex ก็ใช้สารกลุ่มวิตามินเอเป็นหลักซึ่งไม่ทับซ้อนกับเซรั่มวิตามินซีเข้มข้นของเขาและใช้ร่วมกันได้ สิ่งที่ทับซ้อนดูจะเป็นกลุ่มผลัดเซลล์ผิว ซึ่เขาก็มีตัว Quinoa Serum ที่เราก็ว่ามันเลิศมาก หากมีการใช้ตัวนี้อยู่แล้วอาจจะต้องลองปรับ ๆ ปริมาณหรือความถี่ในการใช้ให้ดีเพื่อไม่ให้การผลัดเซลล์ผิวมากเกินไปจนผิวรับไม่ไหวและระคายเคืองได้แทน

หากใครที่สนใจ ผลิตภัณฑ์ชุดนี้ไม่มีจำหน่ายทางออนไลน์นะจ๊ะ และมีวางจำหน่ายแบบจำกัดสาขาด้วย โดยในประเทศไทยมีทั้งหมด 7 สาขาที่ให้บริการ อย่าง สยามเซ็นเตอร์ พารากอน ชิดลม เอมควอเทีย เซ็นทรัลลาดพร้าว โรบินสันพระรามเก้า และโรบินสันเชียงใหม่ ใกล้ที่ไหนไปที่นั่น สนนราคาอยู่ที่ 3,800 บาทจ้า