การกำจัดขนเป็นหนึ่งเรื่องที่ถูกถามไถ่กันเข้ามามากมาย ซึ่งก็จะถามว่าเลเซอร์ขจัดขนนั้นได้ผลจริงหรือไม่? ให้ผลถาวรหรือยาวนานแค่ไหน? เจ็บรึเปล่า? ทำที่ไหนดี? และอื่น ๆ อีกมายมาย ซึ่งปูเป้ก็รวบรวมข้อมูลจากที่หาอ่านมาและจากที่ได้ทดลองทำด้วยตัวเองมาเล่าให้ฟังกันอีกเช่นเคย

สำหรับการทดลองทำเลเซอร์ขจัดขนนั้น ปูเป้ไปทำที่ Immagini Clinic & Daisy Diva Clinic เหมือนเดิม ใครที่สนใจลองใช้บริการก็ลองเข้าไปอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมหรือสอบถามข้อมูลกันทาง Facebook หรือโทรศัพท์ไปสอบถามทางคลีนิกได้ด้วยตนเองเลย และสำหรับใครที่สนใจอยากเห็นภาพบรรยากาษการไปทำเลเวอร์ขจัดขนในรูปแบบของวีดีโอแล้วล่ะก็คลิกชมกันได้ตามสะดวก

เลเซอร์ขจัดขนทำงานด้วยหลักการใด?
หลักการแบบง่าย ๆ ก็คือแสงเลเซอร์ในความยาวของช่วงคลื่นที่เหมาะสมสำหรับการกำจัดขน (600 – 1100 nm/นาโนเมตร) จะไปจับกับ “เมลานิน” ที่อยู่ในรากขน (และส่วนต่างๆของเส้นขน) ก่อให้เกิดความร้อนเพื่อไปทำลายรากขน เมื่อรากขนถูกทำลาย ทำให้เสียหาย เส้นขนก็จะไม่ถูกผลิตขึ้นมาใหม่ในชั่วระยะหนึ่งหรือถาวร (มีปัจจัยหลายอย่างประกอบด้วย)

 

ปัจจุบันมีเลเซอร์ขจัดขนที่ใช้กันกี่รูปแบบ และแบบไหนดีที่สุด?
ถ้าเอาตามตำราก็มีอยู่ 4 ชนิดหลัก ๆ แบ่งตามความยาวคลื่นและชนิดของสื่อกลาง ได้แก่ Ruby (694 nm) Alexandrite (755 nm) Diode (800 nm) และ Nd:YAG (1064 nm)

ความยาวคลื่นต่ำจะทะลุทะลวงได้น้อยแต่ทว่าจะถูกดูดซับโดยเมลานินได้ดี ในขณะที่ความยาวคลื่นที่สูงจะมีอำนาจในการทะลุทะลวงที่สูงแต่ก็จะถูกดูดซับโดยเมลานินได้น้อยกว่า นี่จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมเลเซอร์ชนิด Ruby และ Alexandrite นั้นไม่เป็นที่นิยมในประเทศไทยหรือในแถบเอเชีย เพราะว่าสีผิวของคนในแถบนี้จะเข้มกว่าคนยุโรป มีปริมาณเมลานินในผิวมากกว่า จึงทำให้เกิดอาการ Burn หรือไหม้ได้ง่าย

Diode และ Nd:YAG จะเป็นเลเซอร์สองชนิดที่ได้รับความนิยมมากกว่าในแถบเอเชีย และ Nd:YAG เป็นเลเซอร์ที่มีความปลอยภัยสูง สามารถใช้ได้กับทุกสีผิว แม้ความยาวคลื่นที่สูงจะทำให้การจับกับเมลานินทำได้ด้อยกว่า แต่ความสามารถในการทะลวงลึกได้มากถึง 7 mm ใต้ผิวก็ทำให้มันสามารถไปจับกับตรงส่วนของรากขนได้ง่ายขึ้น

ถามว่าตัวเลือกใดที่ดีที่สุด? (โดยตัด Ruby และ Alexandrite ออกไปแล้ว) ก็คงจะมีเหลือแค่ Diode กับ Nd:YAG ปูเป้คงจะแนะนำว่าต้องเลือกตามความเหมาะสมจะดีกว่า

Diode Laser (800 nm) หรือ Soprano XL มีประสิทธิภาพในการขจัดขนได้ดีกว่า Nd:YAG เพราะความยาวคลื่นที่ต่ำกว่าก็สามารถจับกับเมลานินในเส้นขนได้ดีกว่า ทว่า Diode Laser ต้องใช้เจลเย็นในการลดความร้อนระหว่างทำ จึงอาจไม่เหมาะนักกับการทำที่ผิวหน้าหรือในบริเวณเล็ก ๆ ที่ต้องการความละเอียดเป็นพิเศษ เหมาะเอาไว้ทำพวกแขน ขา หรือบริเวณกว้าง ๆ

Nd:YAG (1064 nm) หรือ Gentle Yag แม้จะแลดูด้อยกว่าเล็กในเรื่องความสามารถในการขจัดขน (แต่ก็ไม่มากหรอก ส่วนใหญ่บอกความแตกต่างไม่ค่อยได้ด้วยซ้ำ) แต่ลักษณะหัวยิงของเครื่องที่ปรับพลังงานให้สามารถเก็บรายละเอียดของเส้นขนในจุดเล็ก ๆ ได้ (เขาบอกว่ากันขนคิ้วยังทำได้เลยอ่ะ) ทำให้ Nd:YAG เหมาพสำหรับการเก็บรายละเอียดในจุดเล็ก ๆ อย่างใบหน้า หรือรักแร้ (แต่จะทำส่วนอื่นอย่างแบนและขาก็ทำได้จ้า)

** Nd:YAG ย่อมาจาก Neodymium:Yttrium Aluminum Garnet **
ทำไมไม่พูดถึง IPL ล่ะ?
ก็เพราะว่า IPL (Intense Pulsed Light) ไม่ใช่เลเซอร์น่ะสิเธอว์ แหล่งกำเนิดพลังงานแสงอันทรงพลังของ IPL มาจากหลอด Xenon (หรือไฟแฟลชนั่นแหล่ะ) ซึ่งสามารถสร้างคลื่นได้ตั้งแต่ 370 – 1800 (เมื่อไม่ผ่านการกรองด้วย Filter)

การใช้ Filter เพื่อกรองคลื่นแสงให้เหลือไว้เฉพาะในช่วงของความยาวคลื่นที่ต้องการ ทำให้ IPL สามารถใช้ในการขจัดขนได้ แม้จะมีข้อมูลว่า IPL ให้ผลได้ใกล้เคียงกับ Nd:YAG แต่ IPL ก็ทำให้เกิด Post-Inflammatory Hyperpigmentation มากกว่า และจากการทำแบบสอบถามก็พบว่า IPl ทำให้รู้สึกเจ็บหรือไม่สบายผิวมากกว่า Ruby Laser ด้วย

จากข้อมูลในหนังสือ Hair and Scalp Diseases Medical, Surgical, and Cosmetic Treatments หน้า 231 ระบุว่า IPL ไม่เหมาะที่จะใช้ขจัดขนในรายที่มีผิวสีเข้ม ถึงดำ เพราะว่า Filter ที่มีอยู่ในปัจจุบันไม่สามารถขจัดคลื่นที่ไม่ต้องการออกได้หมด อาขจทำให้เกิดการบาดเจ็บได้ในผู้ที่มีสีผิวดังกล่าวจ้า

 

“เลเซอร์ขจัดขนถาวร” นั้นทำได้จริงหรือ?
เลเซอร์ขจัดขนที่มีใช้กันอยู่นั้น ไม่มีตัวใดเลยที่ FDA ให้ใช้คำว่า “ขจัดขนถาวร” หรือ “Permanent Hair Removal” แต่ให้ใช้คำว่า “ลดปริมาณขนอย่างถาวร” หรือ “Permanent Hair Reduction” เพราะว่ามันเป็นสิ่งที่ยากมาก (หรืออาจจะเป็นไปไม่ได้เลยด้วยซ้ำ) ที่จะขจัดขน “ทุกเส้น” ให้หายไปหมดอย่างถาวรหลังจากการเข้าคอร์สเลเซอร์เพียง 4 หรือ 8 ครั้ง

แต่ถึงแม้ผลที่ได้จากการทำเลเซอร์ขจัดขนจะไม่สามารถทำให้ขนเราหายไปหมด 100% ได้อย่างถาวร แต่มันก้เป็นวิธีที่ที่ปลอดภัย เร็ว ง่าย เจ็บตัวน้อย และราคาค่างวดในการทำก็ยังมีแนวโน้มจะปรับตัวลดลงเรื่อย ๆ อีกด้วย

 

ทำเลเซอร์ขจัดขนเจ็บมั๊ย?
การทำเลเซอร์ขจัดขนจะก่อให้เกิดความร้อนเพื่อทำลายรากขน แต่เพื่อไม่ให้เนื่อเยื่อโดยรอบและผิวด้านบนถูกทำร้ายให้เสียหายไปด้วย จึงต้องมีการใช้ความเย็นเข้าช่วย ถ้าเป็นการทำ Diode Laser (Soprano XL) จะใช้เจลเย็นในการให้ความเย็นเพื่อลดความร้อนและให้ชาเพื่อลดความเจ็บ ส่วน Nd:YAG จะใช้การเป่าลมเย็นแทน หากกลัวที่จะเจ็บหรือทำการขจัดขนที่เป็นเส้นหนา (อย่างเช่นหนวดหรือเคราของผู้ชาย) ก็สามารถใช้ยาชาชนิดทาเพื่อลดความเจ็บปวดได้

แต่ถ้าบอกว่าไม่เจ็บหรือไม่รู้สึกอะไรเลยมันก็โกหกอ่ะนะ แม้จะมีตัวช่วงต่าง ๆ ทั้งการทายาชา การประคบ เป่า หรือหล่อเย็นด้วยเจล มันก็ยังมีความรู้สึกเจ็บบ้างอยู่ดี

เจ็บแค่ไหน? ส่วนตัวปูเป้จะบอกว่าส่วนตัวสามารถทนได้สบาย ๆ (ถอนขนหนวดด้วยแหนบเจ็บกว่าเยอะ) แต่ทว่าทุก ๆ คน มีขีดจำกัดในการทนต่อความเจ็บปวดได้ไม่เท่ากัน ถ้ากลัวเจ็บมากก็ให้เขาทายาชาทิ้งเอาไว้นาน ๆ ก็ได้ครับ

 

ทำไมถึงต้องทำซ้ำมากกว่า 4 ครั้งขึ้นไป?
เส้นขน (และผม) มีระยะในการเจริญเติบโตอยู่ 3 ช่วงใหญ่ ๆ นั่นก็คือช่วง Anagen ที่ช่วงที่รากขนยังทำการสร้างเส้นขนอยู่และมีปริมาณเมลานินสูงสุด ต่อมาคือ Catagen คือรากผมเริ่มหยุดการสร้างเส้นขน สุดท้ายคือ Telegen เป็นช่วงที่เส้นขนเตรียมจะหลุดออกและกำลังจะเริ่มร้างรากขนเพื่อผลิตขนเส้นใหม่

แน่นอนว่าระยะที่เลเซอร์จะทำหน้าที่ในการกำจัดขนได้ดีที่สุดก็คือช่วง Anagen ทว่าพื้นที่อย่างเช่น “ขา” ของคนเรา จะมีเส้นขนที่อยู่ในช่วงของ Anagen อยู่ที่ประมาณ 20 เท่่านั้น ดังนั้นการกลับมาทำซ้ำอย่างต่ำ 4 – 5 ครั้ง โดยเว้นระยะห่างประมาณ 1 เดือนในแต่ละครั้ง ก็จะสามารถขจัดเส้นขนได้มากกว่า 75 % ขึ้นไป

 

หลังทำจนครบคอร์ส 4 – 8 ครั้งแล้ว นานแค่ไหนกว่าเส้นขนจะงอกกลับมา
พูดยาก ต้องเรียนกว่ามีหลายปัจจัยที่เกี่ยวข้องนะ ทั้งในเรื่องของกรรมพันธุ์เองก็มีส่วน ความต่อเนื่องและระยะห่างในการทำเลเซอร์ขจัดขนแต่ละครั้งก็มีส่วน คุณภาพของเครื่องมือที่ใช้ (ว่าผลิตจากประเทศไหน) รวมถึงความชำนาญของผู้ที่ทำการใช้เครื่องมือในการเลือกระดับที่เหมาะสมก็มีผลอีกเช่นกัน

มีการทดสอบนึงโดยใช้ Nd:YAG พบว่าหลังจากการทำเลเซอร์ขจัดขน 5 ครั้ง ผ่านไป 12 เดือน ปริมาณเส้นขนโดยรวมก็หายไปกว่า 75 % ของที่เคยมีอยู่ ส่วนนานกว่านั้นผลจะเป็นยังไง ยังไม่เจอข้อมูลที่แน่นอน และส่วนตัวปูเป้ก็ทำไม่ติดต่อกันด้วย จะขอลองกลับไปทำใหม่อีกครั้งโดยควบคุมเรื่องความสม่ำเสมอมากกว่านี้

 

การเตรียมตัวก่อนและหลังไปทำเลเซอร์ขจัดขน / ผลข้างเคียง
ก่อน
– ห้ามถอนขน แว๊กซ์ขน ให้โกนได้ยอ่างเดียว
– เป็นไปได้ให้งดพวกยารักษาสิวที่มีฤิทธิ์ในการผลัดลอกเซลล์ผิวอย่างน้อยสัก 1 – 2 สัปดาห์ก็จะช่วยให้ผิวระคายเคืองได้น้อยลง

 

หลัง
– ประคบเย็นด้วยผ้าเย็นหรือถุงน้ำแข็งเพื่อลดความร้อนของผิวหลังจากทำเลเซอร์ทันที
– สามารถทายา Triamcinolone Acetonide เพื่อลดรอยและการอักเสบแดงได้ (แต่มันเป็นสเตยรอยด์ ถ้าไม่จำเป็นหรือรีบจริงๆ ก็ไม่ต้องใช้หรอก)
– งดการใช้ยารักษาสิวที่มีฤิทธิ์ในการผลัดเซลล์ผิว กรด AHA และ BHA สักระยะ
– หลีกเลี่ยงแสงแดด และทายากันแดดเป็นประจำ
– อย่าถอนหรือดึงขน ให้โกนเอา (แล้วสักพักขนจะหลุดเอง)
– หลีกเลี่ยงการทำให้ผิวระคายเคือง เพื่อลดโอกาสการเกิดรูขุมขนอักเสบ หรือตุ่มหนองขาว ๆ บริเวณรูขุมขน

ผลข้างเคียงที่พบได้หลังจากการทำเลเซอร์ขจัดขนได้แก่อาการแสบ คัน บวมแดง ซึ่งการประคบเย็นและการใช่ยาแก้แพ้จะช่วยลดปัญหาตรงนี้ได้ ปัญหาที่ดูรุนแรงขึ้นมาคือ “รูขุมขนอักเสบ” (folliculitis) ซึ่งเป็นตุ่มแดงหรือตุ่มหนองขาว ๆ ที่ขึ้นมาตรงรูขุมขน เกิดขึ้นจากการติดเชื้อ รวมถึงการระคายเคือง การใช้ยาทายาฆ่าเชื้อ (หรือใช้ยาทานควบคู่ไปด้วย) จะสามารถบรรเทาปัญหาตรงนี้ไปได้

โอกาสการเกิดปัญหาเหล่านี้ขึ้นอยู่กับสภาพผิวของแต่ละคน รวมถึงความชำนาญของผู้ทำ รวมถึงคุณภาพของเครื่องมือและการลดความร้อนด้วยความเย็นขณะทำด้วย ความสะอาดก็เป็นอีกปัจจัย

 

ประสบการณ์ส่วนตัว
ปูเป้ทดลองขจัดขนบริเวณใบหน้าโดยใช้ Nd:YAG (Gentle Yag) ที่ Immagini Clinic & Daisy Diva Clinic แต่ยังไม่เคยลองทำด้วย Diode Laser (Soprano XL)

การทำในครั้งแรกก็มีตื่นเต้นบ้าง โดยเฉพาะจะเริ่มยิง Shot แรกนี่ตัวเกร็งเลย แต่พอรู้สึกว่ามันไมได้เจ็บอย่งที่คิดก็เบาใจขึ้นเยอะ ส่วนที่จะเจ็บหน่อยก็คือบริเวณหน้าผากที่มีเนื้อและไขมันอยู่น้อย ส่วนที่ไม่ค่อยเจ็บเลยคือส่วนหนวดและเคราเพราะว่าอัดยาชาไปเต็มที่

หลังจากทำเสร็จใหม่ ๆ จะมีขนบางเส้นที่กระเด้งหลุดออกมาให้เห็นเลย แต่ก็จะมีส่วนที่ไม่หลุดออกไปเหมือนกัน ในระยะ 1 – 2 วันแรกปูเป้จะไม่โกนหนวดเพราะว่าไม่อยากทำให้ผิวระคายเคืองมากขึ้น จะเป็นรูขุมขนอักเสบได้ การใช้เครื่องสำอางที่มีส่วนผสมที่ช่วยลดการระคายเคืองเป็นสิ่งจำเป็น ปละอย่าทาครีมเนื้อหนัก ๆ โปะผิวไว้ในวันแรกเพราะมันจะทำให้ผิวระบายความร้อนออกไปได้ไม่ดี

หลังจากผ่านไปสักระยะหนึ่ง ขนจะเริ่มหลุดไปเอง อย่างในรูปนี้คือผ่านไปหลังจากทำเลเซอร์ประมาณ 2 สัปดาห์ และไม่ได้โกนหนวดประมาณ 4 วัน ตอนนวด Cleanser ไปเรื่อยๆก็เห็นว่าขนมันก็หลุดออกมาเองเลยจ้าาาาาา

ต้องขออภัยที่ไม่มีรูป Before & After ให้ดูเพราะว่าไฟล์ที่เก็บไว้มันไปอยู่ไหนแล้วก็ไม่รู้ และปูเป้ก็ไม่ได้ทำติดต่อกันทุกเดือนด้วย บางครั้งก็เว้นไป2 เดือนกว่าค่อยกลับมาทำ ซึ่งทำให้การขจัดขนนั้นไม่สมบูรณ์เท่าไหร่ แต่โดยรวมแล้วปริมาณขนและความหนาของเส้นขนก็น้อยลงกว่าตอนก่อนทำเยอะมากกว่า 60 % ได้ (ปูเป้ทำไป 4 ครั้ง ในช่วง 9 เดือนที่ผ่านมา)

สรุปแล้วปูเป้มองว่าการขจัดขนด้วยเลเซอร์เป็นทางเลือกที่ดีในการที่จะลดปริมาณขนที่เราไม่ต้องการลงไปอย่างถาวร แม้จะมีราคาค่างวดอยู่บ้าง แต่เพื่อความสวยงามแล้วผมก็เชื่อว่าพวกเราคงยินดีที่จะจ่ายหากมันสามารถนำมาซึ่งผลลัพธุ์ที่เราต้องการ

แต่อย่าลืมนะครับว่าไม่มีเลเซอร์ชนิดใดที่จะขจัดขนทั้งหมดให้หายไปได้อย่างถาวรในหนึ่งคอร์ส อ่านบทความตรงนี้แล้วก็อยากให้เข้าใจ และคาดหวังในสิ่งที่สามารถเป็นจริงได้ แล้วคุณจะมีความสุขกับผลที่ได้รับอย่างแน่นอน

(Source : Laser-Assisted Hair Removal, Long-Pulsed Nd:YAG Laser-Assisted Hair Removal in Pigmented Skin, Laser hair removal: comparison of long-pulsed Nd:YAG, long-pulsed alexandrite, and long-pulsed diode lasers., Hair removal with the long pulsed Nd:YAG laser: a prospective study with one year follow-up, Evidence-based review of hair removal using lasers and light sources, Hair and Scalp Diseases Medical, Surgical, and Cosmetic Treatments : Light-Assisted Hair Removal P.225-234, Cosmetic Dermatology – Products and Procedures : Laser-Assisted Hair Removal P.432-437)