เมื่อพูดถึง “ชีวาศรม” หรือ Chiva-Som บางคนอาจจะไม่รู้จัก บ้างก็เคยแค่ได้ยินชื่อ บางคนรู้แค่ว่ามันคือสปาสุดแพง สำหรับปูเป้นั้นรับรู้มาว่าชีวาศรมคือรีสอร์ทสปาแพงระยับ แม้จะพยายามหาข้อมูลในอินเตอร์เน็ทก็เห็นแต่รีวิวหรือ feedback ตามเวปท่องเที่ยวเป็นตัวอักษร ไม่มีรูปถ่ายอื่น ๆ นอกจากในเวปไซต์ของทางรีสอร์ทเอง เรียกได้ว่าเป็นแดนดินพิศวงสำหรับคนภายนอกก็ไม่ผิดนัก
จากคำบอกเล่าของคนรู้จักหรือจากที่ไปอ่านมา มีตั้งแต่ห้ามนำอาหารจากภายนอกเข้าไป มีการค้นกระเป๋าเพื่อยึดขนมด้วย ห้ามนำอุปกรณ์สื่อสารไปใช้ แม้แต่ทีวีก็ยังไม่มีให้ดู อาหารเป็นพืขผักใบหญ้าเพื่อสุขภาพสุด ๆ แต่รสไม่ได้เรื่อง จืดสนิท และอีกมากมาย ถ้าเอาจากที่ได้อ่านได้ฟังจากคำคนอื่นมาประมวลผลดู ชีวาศรมก็คงไม่ต่างอะไรกับสถานกักกันที่ต้องจ่ายเงินเกือบแสนเพื่อเข้าไป…
เป็นโอกาสอันดีมากที่ปูเป้ได้รับการติดต่อจากทาง Chiva-Som Academy ซึ่งเป็นสถาบันที่ผลิตบุคลากรทางด้านสปาและการบำบัดชั้นนำของโลก ให้เข้าไปเป็นอาจารย์พิเศษและวิทยากรรับเชิญ จึงถือโอกาสนี้ขอลองเข้าไปสัมผัสประสบการณ์ที่ ชีวาศรม แทนการรับค่าจ้างเป็นตัวเงิน และปูเป้ก็ตั้งใจไว้ว่าจะนำประสบการณ์ที่ได้รับในครั้งนี้มาเล่าให้กับทุกคนได้อ่านกัน
เราเดินทางจากกรุงเทพฯ โดยรถลิมูซีนของทางรีสอร์ท เมื่อมาถึงก็จะมีทางผู้บริหารออกมาต้อนรับ หลังจากนั้นก็จะมี Welcome Drink เป็นน้ำชาตะไคร้พร้อมกับพวงมาลัย
น้่ำชาตะไคร้เป็น Signature Drink ของที่นี่ จะมีเสริฟทั้งแบบอุ่นหรือเย็นตลอดทุกจุดทั่วรีสอร์ท คุณสมบัติของชาสมุนไพรตัวนี้คือจะช่วย Detox ดังนั้นเราจะเข้าห้องน้ำกันบ่อยมากตลอดเวลาที่อยู่ที่นี่ หลังจากนั้นก็จะมีการถ่ายรูปของเราเอาไว้ เพราะพนักงานที่นี่จะต้องรู้จักแขกทุกคนว่าชื่ออะไร ชอบอะไร ไม่ชอบอะไร กำลังพักหรือทำโปรแกรมอะไรอยู่
หลังจากนั้นก็จะมีเอกสารให้เราเซ็นต์รับทราบเรื่องการห้ามใช้อุปกรณ์อิเลคโทรนิค อย่างกล้อง โทรศัพท์มือถือ สมาร์ทโฟน โน๊ตบุ๊ค ในพื้นที่ส่วนกลางทั้งหมด สามารถใช้ได้เฉพาะในริเวณน้องพักส่วนตัวเท่านั้นด้วยเหตุผลเรื่องความเป็นส่วนตัวของแขกที่มาพัก ซึ่งมีตั้งแต่ดาราชื่อดัง เซเลบริตี้ ผู้นำประเทศ ซึ่งถือเรื่องความเป็นส่วนตัวและความปลอดภัยเป็นสำคัญ นอกจากนี้ในบริเวณรีสอร์ท แขกก็จะแต่งตัวตามสบาย บางคนใส่แค่เสื้อคลุมอาบน้ำตัวเดียว บางคนใส่ชุดว่ายน้ำเดินโทงเทง คงไม่ดีนักที่ภาพเหล่านี้จะหลุดออกไป อีกเหตุผลหนึ่งก็คือการมาพักที่ชีวาศรมคือการพักผ่อนร่างกาย จิตใจ การละสิ่งเหล่านี้ไปบ้างก็เป็นเรื่องที่ดี
นี่ไม่ใช่รีสอร์ทที่ใหญ่โตเพราะที่นี่ไม่ได้เน้นรับแขกปริมาณมาก แต่เน้นให้การบริการและความเป็นส่วนตัวที่ดีที่สุด ห้องพักรวมมี 58 ห้อง (แต่มีห้องทำทรีตเมนต์กว่า 70 ห้อง) โดยในภาพด้านบนที่เป็นเป็นเรือนทรงไทย คือห้อง Thai Pavilion Room สำหรับแขกที่ต้องการความเป็นส่วนตัว
ห้องพักของปูเป้และพี่เก๋เป็นห้องแบบ Sea View ที่อยู่ใกล้กับทะเล เป็นห้องขนาดเล็กที่สุด แต่ก็อยู่ได้อย่างสบายไม่อึดอัด ภายในห้องมีเตียงที่เลิศมาก และเราสามารถเลือกหมอนที่เป็นไส้แบบต่าง ๆ ตามต้องการได้ด้วย สิ่งอำนวยความสะดวกก็มีตั้งแต่ LCD TV ขนาดใหญ่ เครื่องเล่น DVD และบริการ Wifi ฟรีตลอดระยะเวลาของการพัก
ห้องน้ำมีขนาดกำลังดี ไม่มีอ่างอาบน้ำแต่มี Shower Room ให้ จากการสอบถามพบว่าห้องพักพึ่งได้รับการ Renovate มาสักพักหนึ่ง โดยตัดอ่างอาบน้ำออกเพื่อขยายในส่วนของห้องนอนให้มีความกว้างขึ้น ซึ่งการไม่มีอ่างอาบน้ำนั้นไม่มีปัญหา เพราะที่นี่เต็มไปด้วยอ่างจากุชชี่ อ่างอาบน้ำเพื่อการบำบัดอีกสารพัดแบบให้เลือกใช้
ในทริปนี้เรามาอยู่กัน 3 วัน 2 คืน แต่ปุเป้และพี่เก๋ก็แบกเครื่องประทินผิวมาใช้กันราวกับจะมาตั้งรกรากอยู่ที่ชีวาศรมกันเลย…
สิ่งหนึ่งที่อยากจะเล่าให้ฟังคือในห้องที่เราเข้าพัก จะมีกระติกน้ำเก็บความเย็นและความร้อนให้กับแขกทุกคน เพื่อให้นำกระติกนี้ไปเติมน้ำชาสมุนไพรที่จะมีวางไว้หลายจุดของรีสอร์ท เพื่อที่จะลดการใช้แก้วหรือขวดพลาสติก เป็นการรักษาสิ่งแวดล้อม นอกจากนี้ยังมีถุงผ้าที่ให้แขกนำไปใช้ใส่สิ่งของหรือกระติกน้ำระหว่างทำกิจกรรมที่รีสอร์ทได้ มีรองเท้าแตะสานให้ใช้ ซึ่งทั้งสามสิ่งนี้แขกที่มาพักสามารถนำกลับไปใช้ต่อที่บ้านได้โดยไม่ต้องเสียเงินเพิ่ม
ในห้องจะมีกระติกต้มน้ำร้อนและมะนาวเอาไว้ โดยมีคำแนะนำให้ดื่มน้ำอุ่นที่บีบมะนาวลงไปในทุกเช้า เพื่อช่วยล้างของเสียในร่างกายอีกด้วย เป็นรายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่รู้สึกว่าเขาใส่ใจเรื่องสุขภาพมากจริง ๆ
หลังจากนั้นเราก็ไปพบผู้เชี่ยวชาญเพื่อทำการวิเคราะห์สุขภาพ โดยจะมีการถามคำถามมากมายว่ามาพักที่นี่เพื่ออะไร อย่างผ่อนคลาย สร้างพลังงาน บำบัดจิตใจ ดีท็อกร่างกาย ลดน้ำหนัก สร้างความแข็งแกร่ง และอื่น ๆ รวมถึงคำถามเรื่องของสุขภาพ มีเรื่องใดที่ต้องการแก้ไข จุดใดที่กังวล วัดความดัน เพื่อให้ผู้เชี่ยวชาญวิเคราะห์ปัญหาและแนะนำทรีตเมนต์ และคลาสที่เหมาะสมให้
ทรีตเมนต์ที่นี่มีมากมายนับพันตัวเลือก รวมถึงคลาสและกิจกรรมอย่างต่ำวันละ 8 คลาสที่สามารถเข้าร่วมทั้งหมด (มีบางคลาสที่ต้องเสียค่าใช้จ่ายเพิ่ม) การมีคนช่วยวิเคราะห์และแนะนำจึงเป็นสิ่งที่ดีมาก ปูเป้มีปัญหาเรื่องความเครียด และสิ่งที่เก็บไว้ในใจ รวมถึงปัญหาเรื่องปวดไหล่ ปวดหลังจากการทำงานหน้าคอมพิวเตอร์บ่อย ๆ ก็ได้รับการแนะนำให้เล่นโยคะแบบอ่อน ๆ การฝึกหายใจ การยืดกล้ามเนื้อ สำหรับปัญหาเรื่องมีแก๊ซในท้องบ่อยๆ นั้นแนะนำให้ดื่มน้ำมาก ๆ และลดอาหารที่เป็นกรดลง และทานอาหารที่เป็นด่างเพิ่มขึ้น ซึ่งก็มีเอกสารบอกให้หมดว่าอาหารใดที่เป็นกรด อาหารใดที่เป็นด่าง นอกจากนี้ยังได้รับคำแนะนำว่าควรจะทานอาหารเป็นเวลา และอย่าปล่อยให้รู้สึกหิว ควรมีอะไรรองท้องเพื่อลดน้ำย่อย จะได้ลดปัญหาแก๊ซและกรดไหลย้อนด้วย
หลังจากนั้นเราก็ไปตรวจสภาพผิวที่ นิรันดร์ลดา เมดิ-สปา (Niranlada Meda-Spa) ซึ่งเป็นบริการเสริมสำหรับแขกที่เข้าพักโดยไม่เสียค่าใช้จ่ายใด ๆ ทำให้ปูเป้ได้ทราบว่าที่ ชีวาศรม นี้ ไม่ใช่โรงแรม แต่จดทะเบียนเป็นสถานพยาบาล เป็นรีสอร์ทสำหรับบำบัด รักษา จึงต้องมีการคุมคุณภาพในทุกส่วนและมีการตรวจจากกระทรวงสารธารณะสุขด้วย
นิรันดร์ลดา เมดิ-สปา เป็นเหมือน Day Spa ที่่ไม่ได้ให้บริการเฉพาะแขกที่มาพักอย่างเดียว แต่ให้บริการสำหรับบุคคลภายนอกด้วย โดยสำหรับคนไทยนั้นจะมีส่วนลดให้ ลดแล้วราคาก็จะเท่า ๆ กับคลีนิคผิวหนังชั้นนำหรือในโรงพยาบาลชั้นนำ ไม่ได้แพงกว่าเท่าไหร่
การตรวจภาพผิวนั้นใช้เครือง VISIA ซึ่งให้ผลที่แม่นยำมาก ผลออกมาคือปูเป้มีสภาพผิวที่ดีกว่าคนในช่วงอายุ 31 เท่ากัน แต่สิ่งที่ต้องดูแลหน่อยคือเรื่องของเรียบเนียนของผิว โดยเฉพาะ T-Zone ที่มีปัญหาเรื่องรูขุมขนอยู่ ส่วนเรื่องของจุดด่างดำจากรังสี UV ที่ซ่อนอยู่นั้นแม้จะอยู่ในเกณฑ์ที่ดี แต่เราก็ทากันแดดตลอดทำไมมันถึงมีมากกว่าที่เราคิดเอาไว้ ก็พบว่าปูเป้เป็นคนนอนตื่นประมาณ 8 – 10 โมง และที่ห้องนั้นหน้าต่างอยู่ข้างเตียงซึ่งแดดจะส่องมาตลอดช่วงตั้งแต่ 8 โมงเป็นต้นไป แม้จะมีปิดมู่ลี่แล้วรังสี UV ก็ยังลอดเข้ามาได้ ดังนั้นถ้าจะลดตรงนี้ก็ต้องตื่นเช้า และล้างหน้าทากันแดดก่อนนั่นเอง (ลำบากชีวิตดีแท้ ทุบกระจกทิ้งก่ออิฐปิดไปเลยดีไหมนะ…)
ส่วนตัวมีปัญหาเรื่องสิว รอยแดงสิว และรอยแดงตรงขอบจมูกจากเส้นเลือดฝอย คุณหมอแนะนำให้ทำเลเซอร์ และมีการใช้เทคโนโลยี BioPlasma ในการลดเชื้อแบคทีเรียสิว แล้วก็ใช้ Jet Peel ในการทำความสะอาดล้ำลึก ซึ่งเราจะมาทำกันในวันรุ่งขึ้น
หลังจากตรวจสภาพผิวเสร็จ ปูเป้ก็ได้รับบริการนวดตัวแบบ Chiva-Som Signature Massage ซึ่งเป็นการนวดน้ำมันหอมที่มีกลิ่นให้เลือก 3 แบบ ปูเป้เลือกแบบ Relaxing ที่ช่วยผ่อนคลาย คนนวดเราสามารถเลือกได้ว่าเป็นผู้ชายหรือผู้หญิง ซึ่งปกติแล้วปูเป้จะนวดกับผู้หญิงตลอด คราวนี้ลองนวดกับผู้ชายบ้างก็สยิวไปอีกแบบ เพราะเราต้องแก้ผ้าเลยจ้า สำหรับใครที่อายก็ใส่กางเกงในบาง ๆ ที่เขาเตรียมเอาไว้ให้ได้
การนวด Chivasom Signature Massage จะเน้นผ่อนคลายและช่วยไล่ของเสียให้ขับออกไปทางระบบน้ำเหลือง ช่วยลดอาการบวมน้ำที่มักเกิดขึ้นในระหว่างการเดินทาง ต้องบอกว่าประทับใจมาก นวดดีสุด ๆ ไม่รู้จะบรรยายอะไรมาก เพราะตอนนอนคว่ำก็หลับไปเลยในระหว่างนวด
หลังจากนวดเสร็จเราก็มาเข้าคลาส Gentle Yoga ซึ่งเป้นโยคะแบบง่าย ๆ สำหรับผู้เริ่มต้น คนที่ตัวแข็งมากอย่างปูเป้ก็ยังพอเล่นได้ แอบมีเหนื่อยเป็นช่วงที่ต้องเกร็งท่าบางท่า ได้เหงื่ออยู่เหมือนกัน แต่การกำหนดลมหายใจ กับความสงบของบรรยากาศโดยรวม และลมเอื่อย ๆ ที่พัดผ่านบริเวณศาลาอยู่ตลอดเวลา ทำให้รู้สึกสงบดีทีเดียว
เสร็จจาโยคะเบา ๆ ก็ไปเข้า Stech Class เพื่อช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นของกล้ามเนื้อ ซึ่งเป็นจุดอ่อนที่สุดของเรา เพราะปูเป้เป็นเด็กที่ไม่ออกกำลังกายเลย ตัวแข็งมากจนเข้าขั้นติดลบเลยล่ะ แต่ก็ตั้งใจว่าจะพยายามเอาความรู้ที่ได้จากการเข้าคลาสนี้มาฝึกทำที่บ้าน เพราะว่าคนที่มีความยืดหยุ่นของกล้ามเนื้อดี จะหายจากการบาดเจ็บที่กล้ามเนื้อได้เร็วกว่า
มาถึงเวลาอาหารเย็น เราเลือกไปทานอาหารไทยที่ห้องอาหารริมทะเล แต่ว่าข้อกำหนดที่ห้ามถ่ายรูปทำให้เราไม่สามารถเก็บภาพอะไรมาฝากได้เลย อาหารไทยของชีวาศรม เป็นอาหารไทยที่รสไม่จัดมาก ฝรั่งทานได้ และพยายามปรับให้ดีต่อสุขภาพมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ดังนั้นคนไทยที่ชอบหรือชินกับรสจัด แกงกะทิข้นคลั่กอาจจะไม่ชินหรือไม่ชอบ แต่สำหรับปูเป้ที่ชอบทานอาหารไทย แต่ไม่ชอบกินรสจัดมาก และทานเผ็ดไม่ค่อยเป็น ปูเป้ถือว่าอาหารไทยที่นี่ทำได้อร่อยทีเดียวล่ะ โดยเฉพาะเมี่ยงคำที่แม้จะไม่เหมือนต้นตำรับทั้งหมด (อย่างถั่วลิสง ก็เปลี่ยนเป็นอัลมอนด์แทน) แต่ก็อร่อยมาก ๆ โดยรวมปุเป้ต้องบอกว่าอาหารที่นี่ไม่ได้แย่อย่างที่เคยได้ยินมา และถ้ามองในมุมของอาหารเพื่อสุขภาพแล้ว ถือว่าอร่อยมากเพราะเราต้องคำนึงว่าอาหารเพื่อสุขภาพจะใส่เกลือเยอะ น้ำตาลเยอะ มัน ๆ เยอะก็ไม่ได้ ทำออกมาให้รสได้ขนาดนี้ถือว่าเจ๋งแล้วนะ
หลังจากนันเราก็นั่งรถสองแถว 15 บาทไปเที่ยวตลาดกลางคืนหัวหินที่ไม่ได้ไปมานานมาก ทั้งแต่ตอนเด็ก ๆ ปูเป้จะต้องมาเที่ยวกับครอบครัวทุกปีที่หัวหินนี่แหล่ะ เมนูหนึ่งที่รีบออกตามหาก็คือ “วุ้นไข่” ที่เราไม่ค่อยเห็นขายกันแเลว แต่เป้นเมนูขนมไทย ๆ ที่ปูเป้ทานมาตั้งแต่ห้าขวบ มันก็เป็นเลือกไข่เป็นที่ใส่วุ้นหวานอ่อน ๆ และมีทองหยอดใส่ลงไปลูกนึง ดูเหมือนไข่ขาวกับไข่แดงในเปลือกไข่ มันไม่ได้อร่อยเลิศ แต่เป็นรสชาติที่ดึงความทรงจำวัยเด็กของเราให้กลับมา ที่สำคัญคนขายก็ยังเป็นป้าคนเดิมที่เราซื้อกินตั้งแต่ตินเด็ก ๆ ด้วยล่ะ สำหรับใครที่อยากลองกินวุ้นไข่ดู เดินเข้าตลาดกลางคืนหัวหินจากทางถนนใหญ่เข้ามาสิบเมตร ร้านจะอยู่ทางด้านซ้ายมือจ้า
หลังจากนั้นก็ข้ามถนนไป เดินเจอร้านขายข้าวเกรียบว่าวของโปรด เดี๋ยวนี้ห่อ 20 บาท ได้แค่ 2 แผ่นเองนะ ข้าวของก็แพงขึ้นเรื่อยๆ แต่เจ้านี้ทำอร่อยดี รสหอม หวาน มัน
วันนี้ใช้งานหน้าหนักมากตั้งแต่เช้าถึงค่ำ ต้องมาส์กหน้าด้วย Anne Semonin Mineral Mask เพื่อ Detox หนังหน้าซะหน่อย หลังจากหน้าสะอาดดีแล้วก็มาส์กแผ่น SK-II เพื่อให้ผิวชุ่มชื้นเด้งใสก่อนนอนหลับสบายบนเตียงดูดวิญญาณ
หลังจากตื่นเช้าทั้งที่ใจไม่อยากตื่นเลย เตียงเลิศมากขนาดอยากหิ้วกลับบ้าน ก็มาทานอาหารเช้ากัน (ไมได้ถ่ายรูปเพราะว่าโดนห้ามถ่ายจ้า) เราก็เดินทางไปยังสวนผักไร้สารพิษของทางชีวาศรมซึ่งอยู่ห่างไปประมาณ 10 กิโลเมตร
ผู้ที่มาให้ความรู้กับเราในวันนี้ก็เป็นหนึ่งในเชฟของทางรีสอร์ท โดยพืชผักกว่า 20 ชนิดที่ใช้อยู่ในรีสอร์ทนั้นจะมาจากที่นี่ โดยในช่วยที่พีคที่สุดก็สามารถผลิตป้อนได้ถึง 60% ของจำนวนผักที่ใช้ แต่ส่วนอื่นจะสั่งจากโครงการหลวงเป็นหลักเพราะว่าผักหลายชนิดไม่สามารถปลูกหรือให้ผลผลิตที่ดีได้มากพอเนื่องจากสภาพอากาศ
แต่ผักหนึ่งอย่างที่ผลิตใช้ในรีสอร์ท 100% ก็คือ Wheat Grass และถั่วงอก ซึ่งเขาปลูกไดสวยงามดูน่าทานดี แต่ส่วนตัวไม่ชอบเพราะว่าทนานแล้วปวดหัวกับรสชาติ ส่วนถั่วงอกที่ต้องปลูกเองเพราะว่าต้องการขนาดที่เหมาะสมและต้องการที่สะอาดไร้สารพิษจริง ๆ
แปลงผักมีขนาดไม่ใหญ่มาก ทางรีสอร์วางแผนจะขยายแต่ก็ทำไม่ได้เพราะว่าชาวบ้านไม่ยอมขายพื้นที่ให้ แต่พืชที่ทางรีสอร์ทนำไปใช้เยอะมากก็คือพวกใบเตยหอม ตะไคร้ เปปเปอร์มินต์ ที่นำมาทำเป็นชาได้ และว่านหางจรเข้ที่นำไปใช้ในสปาเป็นหลัก นอกจากนี้กุหลาบที่นี่ก็ปลูกไว้ใช้ในสปาเองเพราะว่ากุหลาบที่วางขายกันก็ใช้ยาฆ่าแมลงทั้งนั้น
ที่นี่ไม่มีอะไรปล่อยทิ้งสูญเปล่า มีการทำโรงเพาะไส้เดือนเพื่อนำไปช่วยย่อยซากพืชในโรงปุ๋ยหมักอีกที มีการทำน้ำหมักชีวภาพเพื่อใช้เป้นปุ๋ยด้วย สระบัวที่อยู่ด้านหลังก็นำดอกบัวไปใช้ตกแต่ง และเอาสายบัวไปทำอาหารแบบออร์แกนิคได้ มีโรงพยาบาลสำหรับต้นไม้ที่นำไปตกแต่งในรีอร์ทแต่หง่อมหรือไม่งามแล้ว ก็มาพักฟื้นให้สวยงามก่อนนำกลับไปใช้ที่รีสอร์ทอีกที
สิ่งหนึ่งที่ทางรีสอร์ภาคภูมิใจก็คือเมล่อน ที่ทางรีสอร์ทปลูกเองและนำไปเสริฟให้แขกทาน ลูกไม่ใหญ่มาก แต่ปลอดสารพิษ และหวานหอม ในแปลกเฉพาะนี้มีสมุนไพรอื่นๆ รวมอยู่ด้วยจ้า
หลังจากนั้นเราก็กลับไปที่โรงแรม ปูเป้ก็แวะเข้าฟิตเนสเพื่อออกกำลังกาย ก่อนจะอาบน้ำและรีบขึ้นมาห้องอาหารก่อนเวลา เพราะได้ขอกับทางรีสอร์ทเอาไว้ว่าอยากถ่ายรูปจริง ๆ ซึ่งทางรีสอร์ทก็อนุโลมให้แต่ต้องรีบมาก่อนห้องอาหารเปิดเท่านั้นจ้า ถ้าแขกเข้ามาแล้วห้ามถ่ายนะ
อาหารที่เราทานทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นในเมนู หรือที่ตั้งอยู่ในไลน์บุฟเฟต์ แม้แต่น้ำสลัด เครื่องปรุง จะถูกคำนวนแคลอรี่มาให้ทั้งหมดแล้ว โดยส่วนของบุฟเฟต์ก็มักเป็นสลัดที่ผักและเครื่องเคียงต่าง ๆ จะเปลี่ยนไปในแต่ละวัน อาหารปรุงสำเร็จในไลน์บุฟเฟต์ก็มีทั้งสตูว์เนื้อ เห็ดผัด สลัดเนื้ออกเป็ด ยำสายบัว คือไม่ได้มีแต่ผักอย่างที่เข้าใจ มีเนื้อสัตว์ด้วย แต่อยู่ในสัดส่วนที่พอเหมาะ และปรุงตามหลักอาหารเพื่อสุขภาพ ไขมันน้อย ขนมปังก็มีให้แต่จะเป็นแบบโฮลวีตทั้งหมด บ้างก็เป็นแครกเกอร์ธัญพืช ขนมจีบก็มีแต่ใช้ผักห่อแทบแผ่นแป้งเกี๊ยวเป็นต้น
ช่วงกลางวันจะมีเมนูให้เราเลือกสั่งได้ 3 แบบ โดยหนึ่งในนั้นจะมีอาหารมังสวิรัติเสมอ โดยแต่ละเมนูจะบอกจะนวนแคลอรี่ จำนวนโปรตีน ไขมัน และแป้งไว้ชัดเจน และมีเครื่องหมายพิเศษกำกับไว้อย่างเช่น S = Spicy V = Vegan E = Contains Egg W = Contains Wheat และ D = Contains Dairy Products เพื่อแจ้งเอาไว้เผื่อสำหรับคนที่แพ้อาหารที่มีส่วนผสมดังกล่าว
ปูเป้สั่ง Oven Bake Chicken Cordon Blue ที่ปกติเมนูนี้จะอ้วนมากเพราะทั้งชุบขนมปัง ทั้งทอด และชีส แต่ที่ชีวาศรมดัดแปลงเป็นแบบอบที่นำไก่เนื้อล้วนมาห่อไส้ด้วยชีส (ซึ่งน่าจะเป็นชีสที่ดีต่อสุขภาพมั้ง รสมันไม่ใช่เชดด้าชีสแบบปกติ) ราดด้วยซอส ไก่เนื้อนุ่มและชุ่ม ไม่แห้ง รสชาติไม่จัดแต่ก็ไม่จืด ถือว่าโอเคนะ อันนี้ไมได้เลิศมาก แต่ก็ไม่แย่
ต่อไปเป็น Grilled Marinated Mackerel with Soy and Sesame Sauce หรือเมนูปลาซาบะย่างนั่นเอง อันนี้อร่อยมาก รสคล้ายกับของที่กินแบบปกติ แค่ไม่หวานหรือเค็มจัดเท่า เนื้อชุ่มฉ่ำ รสของซอสแทรกเข้าถึงเนื้อใน และหนังก็กรุบกรอบ ที่นี่ใช้ซอสถั่วเหลือแบบออร์แกนิคด้วยนะ
พักให้หายอิ่มสักชั่วโมงกว่า ปูเป้มีนัดกับนักกายภาพบำบัด ซึ่งเป้นบริการที่มีให้กับแขกผู้มาพักโดยไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มโดยเขาจะดูโครงสร้างของตัวเรา การจัดเรียงตัวของกระดูก และกล้ามเนื้อให้ ทำให้ปูเป้ได้ทราบว่าตัวเองเป็นคนที่ไหล่ซ้ายกับขวาไม่เท่ากัน โดยไหล่ซ้ายจะอยู่ต่ำกว่า และเป็นคนที่ถ่ายน้ำหนักลงขาซ้ายมากกว่าด้วย เอ็นร้อยหวายซ้ายก็ใหญ่กว่าข้างขวา ซึ่งก็ไมได้ร้ายแรงแต่ก็ควรปรับเพื่อบุคลิคของตัวเอง
ความยืดหยุ่นของสันหลังส่วนบนดี แต่ส่วนล่างแข็งมาก อาจเป็นเพราะแนวกล้ามเนื้อหลังส่วนล่างก็ตึงมาก กล้ามเนื้อหลังส่วนสะบักก็ตึง โดยตึงที่ข้างขวามากกว่า เขาก็บอกว่าเราควรยืดกล้ามเนื้อ และถ้าจะไปนวดก็บอกว่าควรเน้นนวดที่จุดไหนเพื่อรักษาหรือบรรเทาอาการเหล่านี้ อีกส่วนหนึ่งก็คือไหล่จะห่อมาด้านหน้าเล็กน้อย ควรบริหารกล้ามเนื้อแผ่นหลังเพื่อช่วยดึงให้ไหล่เผยออก ดีต่อบุคลิคภาพของเราเอง
หลังจากตรวจเสร็จ นักกายภาพบำบัดก็มีการรักษาเบื้องต้นให้ด้วยการนวดน้ำมันที่หลังโดยเน้นตามจุดที่มีปัญหา ซึ่งการนวดโดยนักกายภาพนั้นกล้ามเนื้อเราไม่ระบมเลย แต่กลับรู้สึกสบายและผ่อนคลายมาก อาจเป็นเพราะเขารู้เรื่องสรีระแล้วกล้ามเนื้อเป้นอย่างดี
สิ่งที่ประทับใจมากอย่างหนึ่งที่ชีวาศรมก็คือเขามีการประสานงานที่ดีมาก เมื่อนักวิเคราะห์ นักกายภาพรับรู้ปัญหาของเรา จะมีการประสานงานไปยัง Therapist ที่จะให้บริการเราในส่วนต่อไป เขาจะรู้ว่าเราจะต้องดูแลส่วนใดมากเป็นพิเศษ เพื่อให้ผลการการบำบัดออกมาตรงจุดที่สุด
หลังจากนั้นปูเป้ก็มีนัดกับคุณหมอที่ นิรันดร์ลดา เมดิ-สปา โดยคุณหมอที่ประจำที่นี่ก็คือ ศาสตราจารย์ นพ.นิวัติ พลนิกร แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านศัลยกรรมความงามและเลเซอร์ชื่อดังคนหนึ่งของเมืองไทย ท่านเป็นคนไม่พูดมาก แต่ทุกคำพูดบ่งบอกถึงความมั่นใจ คุณหมอแนะนำให้ทำ เลเซอร์ Excel V เพื่อช่วยลดปัญหาเรื่องเส้นเลือดฝอยบริเวณขอบจมูก ซึ่งมาจากการอักเสบซ้ำ ๆ เพราะปูเป้คนโรคภูมิแพ้ฝุ่น ไวกับอากาศเป็นพิเศษจึงมีปัญหานี้มาตั้งแต่เด็ก รอยแดงบางส่วนจากเส้นเลือดฝอยก็ใช้ตัวนี้ลดได้ด้วย
ปัญเรื่องสิวคุณหมอเป็นหนึ่งในผู้พัฒนา Bioplasma ในการลดการเชื้อแบคทีเรียสิวในรูขุมขนเพื่อช่วยในการรักษาสิวโดยไม่ต้องทานยา ซึ่งปูเป้รู้สึกสนใจก็เลยขอลองทำดูสักครั้ง
การทำเลเซอร์และ Bioplasma ทั้งหมดคุณหมอ นิวัติ เป็นผู้ทำให้ มีพยาบาลเป็นผู้ช่วยในการทำความสะอาดหน้า และทาครีมเท่านั้น การทำเลเซอร์เส้นเลือดฝอยโดยเครื่อง Excel V นั้นจะมีการทาเจลเย็นลงบนผิวก่อนยิง ซึ่งเจ็บนิดเดียว เบากว่าตอนที่เคยไปยิงเลเซอร์ขนด้วย Gentle YAG เยอะเลย การรักษาเส้นเลือดฝอยนี้เห็นผลในครั้งเดียว ซึ่งอาจจะมีรอยแดงชั่วคราวอยู่สัก 1-2 วัน และผิวก็จะกลับมาเป็นปกติ ซึ่งปูเป้เห็นผลเลยว่าเส้นเลือดฝอยที่จมูกหายไปเยอะมาก ยังคงมีส่วนที่เหลืออยู่บ้างซึ่งต้องมาเก็บตกกันต่อไป แต่โดยรวมถือว่าน่าพึงพอใจมากเพราะดูจากตาเปล่าแล้วรอยแดงที่ขอบจมูกหายไปกว่า 90% คุณหมอย้ำว่าหากยังมีการทำให้มันอักเสบอยู่เรื่อยๆ เส้นเลือดฝอยก็มีโอกาสกลับมาเป็นอีก ก็ต้องดูแลตัวเองให้ดี ๆ
ส่วน Bioplasma ก็จะรู้สึกอุ่น ๆที่หน้า ไม่ต้องทาเจลหรืออะไร ไม่มีแผล และไม่เจ็บเลย คุณหมอจะไล่ท่อพลาสม่าไปทั่วหน้า แต่ส่วนไหนที่มีการอักเสบของสิวอยู่ก็เหมือนจะเร่งเครื่องเฉพาะจุดนั้น ๆ ไป ซึ่งเห็นผลค่อนข้างดีทีเดียว สิวบางจุดที่อักเสบอยู่แห้งลงและสะกิดออกเป็นหัวได้ใน 1 – 2 วันหลังจากทำเลยล่ะ
ส่วน Jet Peel ที่ปิดท้ายคือการพ่นน้ำเกลือซาลีนด้วยแรงดันสูง ช่วยผลัดเซลล์ผิวชั้นนอกและทำความสะอาดล้ำลึก เป็นการปิดท้าย ก่อนจะทาครีมบำรุงผิวและครีมกันแดด (แต่ปูเป้ไม่ทากันแดดเพราะว่าเสร็จก็จะ 5 โมงแล้วจ้า)
พอเสร็จจากทำหน้า เราก็มาเสวยสุขด้วยการนวดตัวแบบ Invogorating Massage ซึ่งเป็นการนวดที่แรงขึ้นมาหน่อย คล้ายการนวดแบบสวีดิชแต่ปูเป้เองก็ไม่เคยลอง จึงขอเปิดประสบการณ์ให้ร่างกายตัวเองดูสักครั้ง (เผื่อจะติดใจ) เนื่องจากห้องนวดปกติเต็ม เลยได้โอกาสเข้าไปส่วนของห้องนวด Hydrotherapy ซึ่งระหว่างทางเข้าห้องนวดนั้นสวยเลยล่ะ แต่ถ่ายรูปไม่ได้ ในห้องนวดก็จะมีอ่างน้ำที่มีอุปกรณ์อะไรไม่รู้เต็มไปหมด กับเตียงนวด
การนวดแบบ Invogorating Massage มีน้ำมันให้เลือกสองแบบ ซึ่งปูเป้เลือกแบบที่กระตุ้นการไหลเวียนของระบบน้ำเหลือง เน้นการแตกตัวของไขมัน กระชับสัดส่วน การนวดจะค่อนข้างลงน้ำหนัก เริ่มจากการลงน้ำมันแล้วนวดลากไปมาตามแนวกล้ามเนื้อแบบเร็วและแรงนิดนึง ก่อนจะใช้การทุบเป็นจะหวะไปตามส่วนต่าง ๆ บางจุดก็สบาย บางจุดก็จั๊กจี้ บางจุดก็แอบเจ็บ แต่จุดไหนที่นวดเสร็จแล้วจะรู้สึกเบาไปเลยล่ะ เขาจะนวดไล่จากขา มาตัว มาแขน แล้วก็จบที่การนวดศรีษะเบา ๆ (ไม่มีทุบหัวนะ)
หกโมงแล้วปูเป้ก็ออกมาจากห้องนวดมาเดินทะเลนิดหน่อย ได้โอกาสเก็บภาพชีวาศรมยามพระอาทิตย์ใกล้ลับขอบฟ้า ดูสงบและผ่อนคลายจริงแท้ ก่อนจะไปใช้เวลาในสระว่ายน้ำสัก 15 นาที ล้างตัวและเปลี่ยนเสื้อก่อนมาทานอาหารเย็นสุดพิเศษ
ทุก ๆ เย็นวันเสาร์ จะเป็นวันที่พนักงานเรียกว่า “วันปล่อยผี” จะไม่มีแล้วซึ่งการไดเอท ดีท๊อกซ์ จะมีแต่บาร์บีคิวปาร์ตี้ อาหารจะรสจัดขึ้น มีหวาน มีมันบ้างพอหอมปากหอมคอ ยังไม่ทิ้งการรักสุขภาพไปเสียทีเดียว
ในส่วนของบาร์บีคิวนั้น ไก่ปิ้งรสธรรมดามาก แต่ส่วนซีฟู๊ดปิ้งย่างนั้นสุดยอดมาก ของทะเลสด ๆ กุ้งตัวใหญ่ม๊ากกก เนื้อแน่น เปลือกลอกออกง่าย หอยเชลล์เนื้อนุ่มแน่นชุ่มดึ๋ง ๆ ปลาแซลมอนย่างในใบตองทำให้เนื้อยังชุ่มนุ่ม ทานคู่กับน้ำจิ้มแจ่วสไตล์ชีวาศรที่ไม่เผ็ดมาก เน้นเปรี้ยว หวาน เค็มเหมือนน้ำปลาหวาน อร่อยมาก อยากได้สูตรน้ำจิ้มนี้สุด ๆ
ก็ยังคงมีไลน์บุฟเฟ่ต์ให้เราเลือกทานอีกเช่นเคย แต่ทีเด็ดคือมีซาชิมิทั้งปลาแซลมอน ปลาทูน่าให้เราเลือกทานได้ไม่อั้นจ้า กรี๊ดดดดดดดดดดด มุมขนมวันนี้ก็ทำให้ปุเป้ฟินมากด้วยกล้วยปิ้งแสนอร่อยกับซอสที่หวานหอม แม้จะสู้กล้วนปิ้งที่ขายของนอกเจ้าอร่อยๆ ไม่ได้ แต่ก็อย่าลืมว่านี่คือเมนูที่ทำแบบสุขภาพเป็นหลัก สรุปว่ามื้อเย็นวันนี้ฟินมาก กินเต็มที่ อิ่มแปล้เลย
หลังจากนั้นเราก็เดินไป Cicada ที่รู้สึกว่ามันธรรมดามาก กับอาหารการกินที่แพงพอ ๆ หรือบางอย่างแพงกว่าสยาม วันนั้นร้อน คนเยอะ และอาการก็ทึบมาก หายใจไม่ออก รู้สึกว่าไปตลาดหัวหินยังเอนจอยกว่านี้ รู้ว่าว่า Cicada เป็นอะไรที่่เราคงจะไม่ไปเหยียบอีกแล้ว…
หลังจากนอนหลับเต็มอิ่ม วันนี้ปุเป้กับพี่เก๋มีตารางแยกกันทั้งวัน ก็เริ่มต้นอาหารเช้าที่ห้องอาหารเหมือนเคย อาหารเช้าก็จะมีพวกขนมปัง น้ำผลไม้ ผลไม้สด ซีเรียลแบบต่าง ๆให้เลือก ขนมปังก็จะเป็นขนมปังเพื่อสขุภาพน่พ มีแต่โฮลวีต ไม่ก็ธัญพืช สำหรับคนที่แพ้แป้งสาลีก็มีแบบ Gluten-Free ด้วย
สิ่งหนึ่งที่ปูเป้ชอบมากก็คือครัวซองค์ มันไม่ได้เหมือนกับครัวซองค์ที่กินปกตินักหรอก เพราะมันไม่ได้หอมเนยชุมทะลัก แต่มันมีความนุ่ม ไม่แห้ง และมีกลิ่นหอมในแบบที่บอกไม่ถูก เมื่อทานคู่กับสเปรนด์ทาขนมปังที่ทางชีวาศรมทำเองก็อร่อยมาก ๆ สเปรดนั้นไม่หวานจัด เข้มข้นไปด้วยเนื้อผลไม้ ให้รสที่เป็นธรรมชาติมาก สตรอว์เบอรี่เป็นรสที่ชอบมาก อีกอันที่แนะนำว่าไม่ควรพลาดคือสเปรนด์งาดำน้ำผึ้ง ที่หอม มัน มีรสเค็มหน่อย ๆ
หลังจากานข้าวเสร็จก็ทำกิจกรรมเบา ๆ ใน Bathing Pavilion ที่มีบ่อและสระว่ายน้ำในร่มให้แช่น้ำเล่นน้ำได้ ก่อนจะลงไปในส่วนของ Hydro Therapy ที่มีกาชุชชี่ ซาวน่า สตีมให้ใช้บริการได้ตลอด ที่นี่จะมีบ่อน้ำเย็นจัด ๆ ให้เราแช่หลังจากสตีมหรือซาวน่าเพื่อข่วยปิดรูขุมขนด้วยล่ะ
การใช้บริการในส่วนนี้จะใส่กางเกงว่ายน้ำก็ได้ แต่ทุกคนที่ใช้บริการก็แก้ผ้ากันหมด เราก็เลยเอาวะ มีแต่ฝรั่ง ต่างชาติ แถมแก่ ๆทั้งนั้น ไม่ต้องอายหรอก ยังไงที่นี่ก็แยกชาย-หญิงชัดเจน จึงเป็นการใช้บริการซาวน่า สตีมและจากุชชี่แบบเปลือยล่อนจ้อนครั้งแรกในชีวิต ซึ่งเออ… มันก็สบายตัวดีนะ และไม่มีใครมาสนใจใครด้วย
หลังจากนั้นก็อาบน้ำนิดหน่อยก่อนจะไปทำทรีตเมนต์ที่ขายดีที่สุดอย่าง Chiva-Som Cleansing Body Cocoon ซึ่งจะเริ่มต้นด้วยการขัดผิวด้วยสครับที่ทำจากกาแฟเพื่อ Detox ทำความสะอาดผิวอย่างล้ำลึก ล้างตัวแล้วมานวดหลังเพื่อผ่อนคลายตามจุดที่เรามีปัญหา ก่อนจะทำการทาเจลว่านหางจรเข้แบบออร์แกนิคที่ผสม Bon Voyage Cellulite ซึ่งเป็นสารสกัดจากพริก ขิง ข่า เครื่องต้มยำ ที่ทำให้รู้สึกอุ่นเมื่อทาทั่วทั้งตัว ก่อนจะห่อด้วยพลาสติค และคลุมทับด้วยผ้าประมาณ 3 ชั้น (มิน่า ถึงเรียกว่า CooCoon) มันร้อนเหมือนอบซาวน่าเลยล่ะ แต่ยังพอทนไหวเพราะระหว่างห่อตัวก็มีการนวดศรีษะเพื่อผ่อนคลายด้วยตลอด หลังจากผ่านไป 10 นาทีก็ล้างออก ซับตัวให้แห้ง แล้วก็ทำการทาด้วย Creme De La Creme เป็นครีมบำรุงผิวกายกลิ่นดอกกระดังงาที่ขายดีของที่นี่อีกเช่นกัน
หลังจากเก็บกระเป๋าเรียบร้อย ก็ทำการเช็คเอ้าท์และฝากของเอาไว้ก่อนจะขึ้นไปทานอาหาร เมนูอาหารที่เลือกมาในวันนี้เป็นไก่ง่วงที่จำชื่อไม่ได้เพราะลืมจดมา แต่อร่อยมากกกกกกกกกกก เนิือไก่ง่วงมันนุ่มมมมมมม ชุ่มมมมมมม และเชฟสามารถทำให้พริกหวานสามสีที่เราแสนเกลียด นั้นสามารถกินได้จนหมดเพราะว่ามันไม่มีกลิ่นเหม็นอยู่เลย ไม่รู้ว่าทำยังไงเหมือนกัน
ของหวานในวันนี้เป็นทาร์ตเลมอน ที่ครีมหอมกลิ่นมะนาว ไส้ในเป็นราสเบอรี่คอมโพท แม้ครีมจะไม่แน่นด้วยรสไข่แดงเข้มข้นเหมือนกับ Lemon Tart ทั่วไป แต่ก็ถือว่าอร่อยและลงตัวดีกับราสเบอรี่คอมโพตข้างใน ติดที่แป้งทาร์มันแข็งไปหน่อยนะ แต่ก็เข้าใจได้เพราะว่าไม่ใช้เนยในการทำ ส่วนไอติมวันนี้เป็นซอร์เบตน้ำมะพร้าวกับงาดำ หอมหวานอ่อน ๆ ได้รสมัน ๆ ของงาดำใช้ได้
อาหารทุกมื้อจะมีผลไม้ให้เราตักได้ตลอด ซึ่งอร่อยทุกอย่าง โดยเฉพาะส้มโอหวานอมเปรี้ยวและสัปปะรดที่ฉ่ำและตัดให้ติดแกนนิดนึงเพราะว่าคุณค่าทางอาหารมันอยู่ในแกนซะเป็นส่วนใหญ่…
หลังจากอาหารกลางวันก็ว่างประมาณ 2 ชั่วโมงเพราะต้องรอพี่เก๋ทำทรีตเมนต์ให้เสร็จ จึงเดินสำรวจพื้นอื่น ๆ ของชีวาศรมไปเรื่อย…
ที่นี่มีห้องสมุดที่ไม่ใหญ่มาก แต่แอร์เย็นจึงแวะเข้ามาหลบพักอยู่บ่อย ๆ มีรูปปั้นของคุณ บุญชู โรจนเสถียร พร้อมกับคำที่ใช้เป็นสโลแกนของ ชีวาศรม” ซึ่งก็คือ “Above all, Enjoy your life…” คือไม่ว่าจะอะไรก็ตาม คุณควรจะใช้ชีวิตอย่างมีความสุขให้เต็มที่
ต้องบอกว่าเป็นการมาเยือนที่ผิดคาดเพราะคิดว่าต้องมีเวลาว่างล้นเหลือ แบกโน๊ตบุ๊คมากะเขียนงานฆ่าเวลา แต่ผิดคาด ทุกวันตารางแน่นเลยจ้า ตื่นมาก็ออกกำลังกาย อาจจะฝึกไทชิเบา ๆ เสร็จก็กินข้าว ถ้าไม่มีรับคำปรึกษา ก็เข้าคลาส ไม่ก็ลงอ่าง เสร็จก็มากินข้าวกลางวันต่อ เสร็จกผ่อนคลายให้ย่อย มีทรีตเมนต์ ทำหน้า นวดตัว เข้าคลาส ผ่อนคลาย กินข้าวเย็น ออกไปเดินเล่น กลับมาอาบน้ำนอน…
ก่อนกลับ ปูเป้แวะร้านขายของที่ระลึกของชีวาศรม เห็นว่ามีสเปรดทาขนมปังที่ได้ลองทานในห้องอาหาร จึงซื้อกลับมาฝากให้ปะป๊ามะม๊าด้วย เพราะคิดว่าท่านน่าจะชอบ ราคาตกขวดละ 190 บาท ซึ่งก็พอ ๆ กับแยมนำเข้าจากต่างประเทศในซุปเปอร์มาร์เก็ตดี ๆ แน่นอนว่ามันไม่ถูกหรอก แต่มันดีต่อสุขภาพ และซื้อให้พอ่แม่ของแค่นี้ก็ไม่เกินกำลังเราหรอก มีหนังสือตำราอาหารไทยแบบชีวาศรมด้วย เปิดเจอมีสูตรเมี่ยงคำและอีกหลายอย่าง เลยซื้อมาฝากปะป๊า (จะได้ให้ปะป๊าทำให้กิน)
นอกจากนี้ก็ยังมีผลิตภัณฑ์บำรุงผิวแบบเดียวกับที่ใช้ในสปาเวลาทำทรีตเมนต์ มาจำหน่ายให้เราซื้อกลับไปใช้ที่บ้านต่อได้ด้วย ซึ่งผลิตโดยโรงงานของปันปุริ ก็ค่อนข้างไว้ใจได้ในแง่ของคุณภาพการผลิต
ชีวาศรมเป็นที่ ๆ น่าประทับใจมาก ไม่ใช่เพราะว่าที่นี่ใหญ่ที่สุด สวยที่สุด หรือว่าหรูที่สุด แต่เป็นเพราะการบริการที่ใส่ใจทุกรายละเอียด การประสานงานที่ไร้ที่ติ บรรยากาศที่แสนสงบราวกับหลุดมาอยู่อีกโลกหนึ่ง ผนวกเข้ากับอาหารเพื่อสุขภาพที่แสนอร่อย การทำทรีตเมนต์ที่ยอดเยี่ยมด้วยบุคลากรที่มีคุณภาพ ช่วงระยะเวลา 3 วัน 2 คืน นี้ปูเป้ได้รู้ว่าตัวเองมีปัญหาอะไรบ้างที่ตัวเองไม่เคยรู้มาก่อนว่ามี และควรแก้ไขอย่างไรเมื่อออกไปจากที่นี่
หลังจากนี้ไป หากปูเป้เจอใครที่พูดว่า “มีเงิน แต่ไม่มีความสุข…” ปูเป้จะไม่ลังเลที่จะบอกให้เขามาที่ชีวาศรม…
แน่นอนว่า”เงิน” ไม่ใช่ “ความสุข” เงินเป็นเพียงตัวกลาง แต่ความสุขเป็นเรื่องของจิตใจ การมีความสุขในจิตใจนั้นไม่จำเป็นจะต้องมีเงินก็ได้ เพราะความสุขสร้างได้ในใจของเราเอง
แต่ในเมื่อมีเงิน แต่ไม่มีความสุข อาจเพราะว่ายังหาความสุขตัวเองไม่เจอ ยังหลงทาง ยังมองไม่เห็นปัญหา ก็ลองใช้เงินที่มี มาจ่าย มาใช้ เพื่อให้คนมาช่วย มาบำบัด อาจได้พบความสุขขึ้นมา เพราะปูเป้คิดว่า มีทั้งเงิน และมีทั้งความสุข ย่อมดีกว่ามีแค่อย่างใดอย่างหนึ่งแน่นอน…
ยังมีรูปอื่น ๆ ที่ไม่ได้นำมาลงในนี้อีกส่วนหนึ่ง ซึ่งใครที่สนใจอยากชมหรือดูขนาดใหญ่ สามารถตามไปที่ Facebook Page ได้เลยจ้า