เมื่อนึกถึงเครื่องสำอางที่มีส่วนผสมสำคัญเป็นเอกลัษณ์ในทุกผลิตภัณฑ์ และเป็นส่วนผสมที่หาไม่ได้ในผลิตภัณฑ์แบรนด์อื่นแล้วนั้น เราจะคิดถึงแบรนด์อะไรกันบ้าง?

หลายคนน่าจะนึกถึง The Miracle Broth ซึ่งเป็นสารที่ได้จากการหมักสาหร่ายสายพันธ์เฉพาะด้วยกระบวนการหมักทางชีวภาพ คิดค้นโดยดอกเตอร์ของนาซ่าที่เสียโฉมจากอุบัติเหตุและต้องการหาวิธีรักษาผิวของตัวเองจนเป็นต้นกำเนิดของ La Mer บางคนก็อาจนึกถึง Pitera ของ SK-II ซึ่งค้นพบโดยบังเอิญจากการสังเกตุว่าหญิงชราที่ทำงานในโรงหมักเหล้าสาเกนั้นมีผิวมือที่อ่อนเยาว์ดุจสาวน้อยทั้งที่ใบหน้าของเธอเหล่านั้นเต็มไปด้วยริ้วรอย ปูเป้ก็นึกได้แค่สองแบรนด์นี้เท่านั้น…จนกระทั่งได้มาทำความรู้จักกับ Biotherm อีกครั้งและพบว่าแบรนด์นี้ก็มีส่วนผสมอันเป็นเอกลักษณ์กับเขาด้วยเหมือนกัน…

ย้อนกลับไปสิบปีกว่าปีที่แล้ว ชื่อของแบรนด์ Biotherm ดังกระหึ่มขึ้นมาด้วย Wording ทรงพลัง “สารสกัดเข้มข้นจากน้ำแร่ร้อนธรรมชาติ ให้คุณค่าฟื้นบำรุงเทียบเท่าน้ำแร่ร้อน 5,000 ลิตรต่อครีมหนึ่งกระปุก” เพราะในตอนนั้น “น้ำแร่” เป็นส่วนผสมที่แปลกใหม่จึงดึงความสนใจได้ดี… ทว่าปัจจุบันนี้ “น้ำแร่” มีใช้กันทั่วไปในเครื่องสำอาง สิ่งที่ทำให้ Biotherm เคยดูน่าสนใจกลับไม่โดดเด่นอีกแล้วในสายตาของใครหลายคน (รวมถึงตัวผมเองด้วย)

แต่….
หากว่าสิ่งที่เราเคยรับรู้เกี่ยวกับ “น้ำแร่” 5000 ลิตรในกระปุก นั้นเป็นการสื่อสารที่ผิดประเด็น และแท้จริงแล้วในผลิตภัณฑ์ Biotherm นั้นไม่ได้มีน้ำแร่อยู่เลยสักหยดในผลิตภัณฑ์แต่กลับเป็นส่วนผสมที่มีความ Unique ไม่เหมือนใครล่ะ? ประโยคนี้ทำให้เรื่องราวของ Biotherm ดูเริ่มจะน่าสนใจขึ้นอีกครั้ง

ในตอนแรกปูเป้ก็เป็นเหมือนอีกหลาย ๆ คนที่เข้าใจว่าส่วนประกอบหลักของ Biotherm คือ “น้ำแร่” แต่แล้วในผลิตภัณฑ์นั้นไม่ได้มีน้ำแร่อยู่สักหยด กลับเป็นสิ่งมีชีวิตขนาดเล็กที่ดำรงชีวิตอยู่ในน้ำแร่ร้อน หรือ Pure Thermal Plankton (PTP) ซึ่งมีตำนาน เรื่องราวเชิงวิทยาศาสตร์ และ ชีววิทยาที่อยู่เบื้องหลังมากมาย และวันนี้ปูเป้จะเอาข้อมูลที่ปูเป้ได้ฟังและได้ค้นคว้ามาเล่าให้ทุกคนได้รู้กันด้วย

 

‘Pure Thermal Plankton’ The Heart of Biotherm…
Pure Thermal Plankton ที่เป็นส่วนผสมหลักในทุกผลิตภัณฑ์ของ Biotherm นั้น คือแพลงก์ตอนน้ำแร่ร้อนสายพันธ์ที่มีชื่อว่า Vitreoscilla Filliformis แพลงก์ตอนเป็นสิ่งมีชีวิตเซลล์เดียวและเป็นสิ่งมีชีวิตชนิดแรกที่ถือกำเนิดขึ้นบนโลกโดยมีอายุมากว่าสามพันล้านปีแล้ว แพลงก์ตอนน้ำแร่ร้อนสายพันธ์นี้ค้นพบครั้งแรกที่เทือกเขา Pyrenees ในประเทศฝรั่งเศส ในสมัยโบราณนั้นคนเรายังไม่มีความรู้ว่าในบ่อน้ำแร่นั้นมีส่วนประกอบของอะไร แต่เป็นเรื่องที่เล่ากันเรื่อยมาว่าน้ำแร่ร้อนบนเทือกเขาแห่งนี้มีคุณสมบัติในการบำบัดรักษา โรคสะเก็ดเงิน อาการระคายเคือง โรคผิวหนังอื่น ๆ ฟื้นบำรุงให้ผิวอ่อนเยาว์ หรือแม้กระทั่งรักษาบาดแผลอย่างนักรบสมัยโรมันยังเดินทางมาที่บ่อน้ำร้อนแห่งนี้เพื่อช่วยในการรักษาบาดแผลจากการสู้รบ จากสรรพคุณนี้เองที่ทำให้หลายคนพยายามนำน้ำแร่ไปใช้ที่บ้าน แต่ก็พบว่ามันไม่มีประสิทธิภาพเหมือนกับการมาใช้ที่บ่อ…

(หน้าตาของ Vitreoscilla Filliformis หรือ Pure Thermal Plankton)
ปริศนานี้ต้องรอจนกระทั่งปี 1935 กว่าที่วิทยาศาสตร์จะมีความก้าวหน้าพอ จึงได้ทราบว่าหลังจากที่ตักน้ำแร่ร้อนออกมาจากบ่อสักระยะหนึ่ง ปริมาณแร่ธาตุจะลดหายไปกว่าครึ่งเนื่องจากแพลงก์ตอนที่อยู่ในน้ำแร่นั้นตายหมด เพราะสภาพแวดล้อมที่แพลงก์ตอนอาศัยอยู่นั้นปราศจากออกซิเจน แสง มีอุณหภูมิและความกดดันสูง และแพลงก์ตอนยังต้องใช้แร่ธาตุ Sulfur ในการดำรงชีวิต

(Jeannine Marissal ผู้ก่อตั้งแบรนด์ Biotherm)
การศึกษาเพิ่มเติมทำให้พบว่าท่ามกลางแพลงก์ตอนหลากหลายสายพันธุ์ในน้ำแร่ร้อน มีเพียง Vitreoscilla Filliformis สายพันธุ์พิเศษนี้ที่มีองค์ประกอบใกล้เคียงกับองค์ประกอบสำคัญหลายชนิดในเซลล์ผิวของมนุษย์ โดยมีดีเอ็นเอเหมือนกับเซลล์ผิวมากกว่า 80% และเมื่อถึงปี 1950 นักชีววิทยาหญิงชื่อ Jeannine Marissal ได้ริเริ่มนำส่วนผสมของแพลงก์ตอนสายพันธุ์พิเศษนี้นำมาผสมลงในผลิตภัณฑ์บำรุงผิว นี่คือการถือกำเนิดของแบรนด์ที่ชื่อว่า Biotherm

การนำ Vitreoscilla Filliformis หรือ Pure Thermal Plankton (PTP) มาใช้ในช่วงแรกนั้นมีความยากลำบากมาก เพราะใช้ต้องอุปกรณ์พิเศษในการดำดิ่งลงไปในปล่องน้ำแร่ร้อนเพื่อเก็บน้ำแร่ร้อนในบริเวณที่ลึกหรือใต้ชั้นหินที่ปราศจากแสงส่องถึง ซึ่งอุดมไปด้วยแพลงก์ตอนมาสกัดเอาเฉพาะแพลงก์ตอนสายพันธ์พิเศษนี้ ในช่วงแรกสายพันธุ์ของแพลก์ตอนที่สกัดได้ก็ยังไม่สมบูรณ์แบบ เนื่องจากเป็นสิ่งมีชีวิตและเป็นธรรมชาติมากๆ ปริมาณองค์ประกอบสำคัญในตัวแพลงก์ตอน เช่น กรดอะมิโน โปรตีน น้ำตาล เกลือแร่ แร่ธาตุ ที่เหมือนกับเซลล์ผิวของมนุษย์ยังไม่สม่ำเสมอ เพราะสามารถแปรเปลี่ยนมากน้อยตามปัจจัยของความสมบูรณ์ของสภาพแวดล้อมและฤดูกาล แถมเจ้าแพลงก์ตอนสายพันธุ์นี้ยังมีการแบ่งตัวเพียงปีละ 4 ครั้งเท่านั้น ในสภาพแวดล้อมตามธรรมชาติ…

(Dr.Lucien Aubert)
เพื่อแก้ปัญหาเหล่านี้ Dr.Lucien Aubert นักชีววิทยาผู้อำนวยการสถาบันวิจัย Biotherm ได้คิดค้นวิธีการที่จะเพาะเลี้ยงแพงก์ตอนเหล่านี้ขึ้นในสภาวะจำลองที่มีความดัน ความร้อน ความเป็นกรดด่าง สัดส่วนของแร่ธาตุที่จำเพาะเหมือนกับในปล่องน้ำแร่ร้อนที่แพลงก์ตอนชนิดนี้ถือกำเนิดขึ้น ใช้เวลายาวนานกว่า 20 ปีในการพัฒนากระบวนการ Bio-Fermentation Process ในที่สุดเขาก็สามารถเพาะเลี้ยง Pure Thermal Plankton ที่มีความบริสุทธิ์สูงสุด มีปริมาณองค์ประกอบสำคัญ ที่เหมือนกับเซลล์ผิวของมนุษย์อย่างสมบูรณ์แบบที่สุด ที่สำคัญสามารถแบ่งตัวได้ในทุก ๆ 4 ชั่วโมง กระบวนการสกัดจะจบลงที่การ Dry Freeze คือการระเหยน้ำออกจากเซลล์ของแพลงก์ตอนและทำให้ถึงจุดเยือกแข็งอย่างรวดเร็วจนกลายเป็นผง ทำให้ได้สารสกัดแพลงก์ตอนที่มีคุณสมบัติเข้มข้นเหมือนกับตอนที่ยังมีชีวิตอยู่ปปแทุกประการ โดยสารสกัดแพลงก์ตอนเพียง 1% ที่ใส่ในผลิตภัณฑ์ Biotherm นั้นจะมีคุณค่าเทียบเท่ากับการฟื้นบำรุงผิวด้วยน้ำแร่ร้อนถึง 5,000 ลิตร เลยทีเดียว

(สถาบันวิจัย Biotherm และเครื่องเพาะเลี้ยง Pure Thermal Plankton)
จุดเด่นของ Pure Thermal Plankton อยู่ตรงที่มันมีองค์ประกอบสำคัญและดีเอ็นเอเหมือนกับเซลล์ผิวของมนุษย์กว่า 80% องค์ประกอบสำคัญที่ว่านี้ก็คือพวกกรดอะมิโน โปรตีน น้ำตาล เกลือแร่ แร่ธาตุ ที่เซลล์ใช้ในการสร้างเอนไซม์เพื่อสื่อสารและสั่งการทำงานระหว่างเซลล์นั่นเอง และเนื่องจาก Pure Thermal Plankton ไม่ใช้สามารถใช้ออกซิเจนในการสันดาบ ตัวมันเองจึงไม่มีอนุมูลอิสระอีกต่างหาก พูดง่าย ๆ ว่า Pure Thermal Plankton สามารถเข้าไปช่วยทดแทนสิ่งที่ขาดหายของเซลล์ไปเหมือนกับการให้อาหารแก่เซลล์ผิวด้วยเซลล์ที่สมบูรณ์แบบ

ทันทีที่สัมผัสผิว แพลงก์ตอนเหล่านี้จะช่วยลดการระคายเคืองและปรับสมดุล จากนั้นจะกระตุ้นกลไกการทำงานและการสื่อสารระหว่างเซลล์ มีการศึกษาอันหนึ่งที่บ่งชี้ว่าสามารถกระตุ้นการสร้างเอนไซม์พิเศษ Manganese Superoxide Dismutase ซึ่งเป็นแอนติออกซิแดนท์เอนไซม์ที่ทำหน้าที่ปกป้องเซลล์ตามธรรมชาติจากอนุมูลอิสระได้อีกด้วย พูดสรุปง่าย ๆ คือช่วยให้เซลล์มีการทำงานที่มีประสิทธิภาพ ปัญหาผิวต่างๆลดเลือนไป ผิวได้รับการฟื้นฟู และสามารถปกป้องซ่อมแซมตนเองได้จากปัจจัยทำร้ายผิว อย่างแสงแดด มลภาวะ ความเครียด รวมถึงฆ่าอนุมูลอิสระได้ด้วยตัวเอง และเนื่องจากมีความที่เหมือนกับเซลล์ผิวของมนุษย์มาก จึงไม่ต้องอาศัยเทคโนโลยีการส่งผ่านหรือย่อโมเลกุลใด ๆ เพื่อเข้าสู่ผิว

(Source : Induction of the skin endogenous protective mitochondrial MnSOD by Vitreoscilla filiformis extract., Improvement of atopic dermatitis skin symptoms by Vitreoscilla filiformis bacterial extract., Effects of nonpathogenic gram-negative bacterium Vitreoscilla filiformis lysate on atopic dermatitis: a prospective, randomized, double-blind, placebo-controlled clinical study.)

จากที่เล่ามาเนี่ย ปูเป้เชื่อว่าคงทำให้ใครหลายคนอยากเอาหน้าไปจุ่มแพลงก์ตอนนั้นเต็มแก่แล้ว แต่ปูเป้ก็ไม่อยากให้ทุกคนเชื่อในทันทีหรอกนะครับ (การเสพข้อมูลที่ดี ต้องใช้วิจารณญาณและหาข้อมูลก่อนจะเชื่อเสมอ) ตอนที่ปูเป้ได้ฟังเรื่องราวเหล่านี้มาก็ได้มีการหาข้อมูลเพิ่มเติมว่ามีการศึกษาตีพิมพ์ไว้จริงหรือไม่…ก็พบงานวิจัยที่ทางแบรนด์อ้างถึงบ้างเหมือนกัน… แต่มีสถาบันวิจัย Loreal เป็นผู้นำเสนอ ในแง่ของความน่าเชื่อถือนั้นมันก็น้อยกว่างานวิจัยโดยหน่วยงานอิสระอยู่แล้ว

ทว่าปูเป้ก็พยายามมองในแง่ดีว่า Pure Thermal Plankton ของ Biotherm นั้นดูจะเป็นส่วนผสมเพียงตัวเดียวท่ามกลาง Signature หรือ Miracle Ingredients อื่น ๆ ที่ปูเป้เห็นว่าอย่างน้อยก็มีงานวิจัยหรือการศึกษาที่ออกมาเป็น Paper และตีพิมพ์เผยแพร่สู่สาธารณะอย่างจริงจัง…ในตอนนี้ถึงผมจะไม่เชื่อที่ทางแบรนด์บอกมาทั้งหมดแต่ก็ถือว่ายังดีที่มีหลักฐานหรือสถิติให้จับต้องได้มากกว่าการอาศัยความศรัทธาและความเชื่อมั่นแต่เพียงอย่างเดียว…