photo Flamingo.jpg
หนังสือความรู้รอบตัวที่อ่านตอนเด็ก ๆ บอกว่า นกฟลามิงโก้มีสีชมพูหรือสีส้มออกแดงเพราะกินสาหร่ายสีแดงเข้าไป (แต่กินเพื่ออะไร?)

 photo Salmon.jpg
โตขึ้นมาอีกหน่อยเราก็ได้รู้ว่า ปลาแซลมอนที่เราชอบกิน มีเนื้อสีส้มเพราะว่ากิน Krill ที่มีส้มเข้าไป (และ Krill ก็กินสาหร่ายขนาดเล็กที่มีสีแดงเข้าไปอีกที)

เหตุผลที่แซลมอนต้องเปลี่ยนตัวเองให้มีเนื้อสีส้มเพราะว่ามันต้องกลับจากทะเลขึ้นมาวางไข่ในแม่น้ำ ที่ต้องเจอกับ Stress ภายนอกมากมาย ไม่ว่าจะเป็นแสงแดด รังสี UV เจ้าสีแดง ๆ นี่แหล่ะคืออาวุธที่ปลาแซลมอนใช้ปกป้องตัวมันเองจากสิ่งรบกวนภายนอก

สีแดง ๆ ที่ว่านี้คือสารที่มีชื่อว่า Astaxanthin ซึ่งเป็นสารกลุ่ม carotenoids ที่มีคุณสมบัติในการต้านอนุมูลอิสระที่สูงม๊าก โดยสูงกว่าวิตามินซี ถึง 6,000 เท่า และมากกว่า Coenzyme Q-10 ถึง 800 เท่า นับว่าเป็นสารต้านอนุมูลอิสระอีกหนึ่งตัวที่น่าสนใจ (แต่ก็ไม่สามารถทดแทนวิตามินหรือสารต้านอนุมูลอิสระตัวอื่นได้ เพราะการทำงานและประโยชน์อื่น ๆ ที่ให้กับร่างกายก็ไม่เหมือนกันซะทีเดียว)

 photo Haematococcuspluvialis.jpg
Astaxanthin สามารถพบได้ในสิ่งมีชีวิตทั้งพืชและสัตว์ และจากความรู้ในปัจจุบัน สาหร่ายน้ำจืดขนาดเล็กที่มีชื่อว่า ฮีมาโตคอกคัส พลูวิเอลิส (Haematococcus Pluvialis) โดยเจ้าสาหร่ายนี้ก็มีกระจายอยู่ในแถบภูมิอากาศอบอุ่นทั่วโลก ซึ่งปกติแล้วเจ้าสาหร่ายนี้ก็จะมีสีเขียวสมบูรณ์ดี แต่เมื่อสภาพแวดล้อมเปลี่ยนแปลงไปจนไม่เอื้ออำนวยต่อการดำรงชีวิตอยู่ได้ สาหร่ายชนิดนี้ก็จะสร้างสารสีแดงที่มีชื่อว่า Astaxanthin ขึ้นมาเพื่อปกป้องเซลล์ของตัวเองจยกว่าสภาพวะที่เหมาะกับการดำรงชีวิตจะกลับมาอีกครั้ง

ปัจจุบัน Haematococcus Pluvialis เป็นแหล่งในการผลิต Astaxanthin เพื่อเชิงพาณิชย์ที่สำคัญ โดย Astaxanthin ถูกนำมาใช้เป็นผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร เครื่องดื่ม หรือแม้กระทั่งเครื่องสำอาง โดยให้คุณสมบัติที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นการต้านอนุมูลอิสระ ลดการอักเสบในระดับเซลล์ ช่วยลดความเหนื่อยล้าของสายตา รวมไปถึงเรื่องความงามของผิวพรรณอีกด้วย

 photo Yamashita2006.jpg
การศึกษาถึงผลของ Astaxanthin ที่มีต่อผลเชิงความความงามของผิวพรรณนั้นส่วนใหญ่ทดสอบโดยนักวิทยาศาสตร์ชาวญี่ปุ่นซะเป็นส่วนใหญ่ โดยการศึกษาที่ตีพิมพ์ในปี 2006 กับผู้หญิง 49 คน อายุเฉลี่ยอยู่ที่ 47 ปี ถูกแบ่งออกเป็นสองกลุ่ม โดยกลุ่มแรกจะได้รับแคปซูลที่บรรจุ Canola Oil ผสม Astaxanthin 2 มิลลิกรัม ทานหลังอาหารเช้าและเย็นครั้งละ 1 เม็ด และอีกกลุ่มจะได้รับแคปซูลหลอกที่มี Canola Oil แต่ไม่มี Astaxanthin ผสมอยู่

หลังจาก 6 สัปดาห์ ผลปรากฏว่า กลุ่มที่ทาน Astaxanthin มีปัญหาริ้วรอยลดลง มีความยืดหยุ่นของผิวเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญมากกว่ากลุ่มที่ได้รับยาหลอก สำหรับเรื่องความชุ่มชื้น กลุ่มที่ได้รับ Astaxanthin มีการพัฒนาขึ้นมากกว่า กลุ่มที่ได้รับยาหลอกซึ่งมีการพัฒนาเหมือนกันแต่น้อยกว่ากลุ่มที่ได้รับ Astaxanthin

การทดลองนี้สรุปไว้ว่า ผลที่ได้รับอาจมาจากคุณสมบัติในการต้านอนุมูลอิสระของ Astaxanthin นั้นเข้าไปช่วยปกป้องคอลลาเจนในผิวจากอนุมูลอิสระที่เกิดขึ้นจากรังสี UV

 photo YAMASHITA2001.jpg
สำหรับการนำ Astaxanthin มาใช้ในเครื่องสำอางนั้นยังไม่แพร่หลายในประเทศไทยและที่อื่นๆ เท่าไหร่นัก (แต่ในญี่ปุ่นมีขายนะ) มีการศึกษาชิ้นหนึ่งในปี 2001 ที่ศึกษาการทาครีมผสม Astaxanthin เป็นระยะเวลา 2 สัปดาห์เทียบกับ Cream Base เปล่า ๆ ซึ่งผลออกมาพบว่า การทาครีมผสม Astaxanthin นั้นให้ผลเรื่องการเก็บกักความชุ่มชื้นที่ดีกว่า ริ้วรอยเล็ก ๆ ดูลดลง และผิวดูสม่ำเสมอขึ้น

 photo Yamashita2012.jpg
การศึกษาในปี 2012 ได้มีการทดลองให้ใช้ Astaxanthin ทั้งการทานและทาไปควบคู่กัน โดยใช้กลุ่มทดสอบเป็นผู้หญิง 30 คน อายุระหว่าง 20-55 ปี โดยกลุ่มทดลองจะต้องหยุดรับประทานหรือใช้ผลิตภัรฑ์ที่ผสม Astaxanthin ก่อนเริ่มทดลอง 8 สัปดาห์ หลังจากนั้นให้กลุ่มทดลองทาน Astaxanthin 3 มิลลิกรัม หลังอาหารเช้าและเย็นครั้งละ 1 เม็ดควบคู่ไปกับการทาครีมผสม Astaxanthin เป็นระยะเวลา 8 สัปดาก่อนสรุปผล ผลที่ออกมาคือ ผิวของกลุ่มทดสอบมีริ้วรอยที่ลดลง ผิวมีความเรียบเนียนมากขึ้น และชุ่มชื้นขึ้น

สำหรับคนที่สงสัยว่าผู้ชายกินแล้วจะให้ผลเหมือนกับผู้หญิงรึเปล่า การทดสอบในปี 2012 นี้มีการทดสอบในผู้ชายอายุระหว่าง 20-60 ปี จำนวน 36 คน โดยแบ่งเป็นสองกลุ่มจำนวนเท่า ๆ กัน กลุ่มแรกทาน Astaxanthin 3 มิลลิกรัม หลังอาหารเช้าเย็นครั้งละ 1 เม็ด ส่วนอีกกลุ่มได้รับยาหลอก (ไม่มีการทาครีมผสม Astaxanthin ในการทดสอบนี้)

ผลออกมาพบว่าค่าเฉลี่ยของความลึกของริ้วรอยดูไม่แตกต่างกันในกลุ่มที่ได้รับ Astaxanthin กับยาหลอก แต่ว่าอัตราส่วนของพื้นที่ริ้วรอยทั้งหมดในกลุ่มที่ทาน Astaxanthin นั้นน้อยลงกว่ากลุ่มที่ทานยาหลอก กลุ่มชายที่ได้รับ Astaxanthin มีความยืดหยุ่นบริเวณริ้วรอยที่หางตามากกว่า รวมถึงมีความชุ่มชื้นที่ผิวบริเวณแก้มเพิ่มขึ้น มีการผลิตน้ำมันบริเวณแก้มลดลง เมื่อเทียบกับกลุ่มทีทานยาหลอก

 photo AstaxanthinCapsule.jpg
โดยส่วนตัวแล้วปูเป้รู้จักกับเจ้า Astaxanthin และเริ่มทานมาได้เกือบ 3 ปีแล้ว ซึ่งจุดแรกที่สนใจทานก็เพราะว่ามันช่วยเรื่องความเหนื่อยล้าของดวงตาเพราะว่าเราต้องใช้สายตากับคอมพิวเตอร์เยอะมาก

Astaxanthin เป็นหนึ่งในสารต้านอนุมูลอิสระทรงประสิทธิภาพอีกหนึ่งตัวที่น่าสนใจซึ่งให้ประโยชน์กับสุขภาพและผิวพรรณ ซึ่งควรทานไปควบคู่กับวิตามินและสารอาหารชนิดอื่น ๆ อย่างสมดุล (อย่างที่บอกเอาไว้ว่าไม่มีอะไรแทนกันได้)

ในแง่ของการทาน Astaxanthin เพื่อผิวพรรณ์นั้น ปูเป้มองว่าเป็นการช่วยเสริมการปกป้องผิวของเราจากการทำร้ายของสิ่งรบกวนภายบนอก ไม่ว่าจะเป็นมลภาวะ รังสี UV ซึ่งการทาน Astaxanthin ควบคู่ไปกับการใช้เครื่องสำอางที่อ่อนโยน ทาครีมกันแดดทุกวัน จะช่วยเสริมการปกป้องผิวให้คงสุขภาพดีและดูอ่อนเยาว์ไปได้อีกนานยิ่งขึ้น

จากข้อมูลที่หามาในครั้งนี้ Astaxanthin เป็นสารที่ปลอดภัย ปริมาณที่แนะนำให้ทานในแต่ละวันคือ 4 – 6 มิลลิกรัม และทานหลังอาหารจะสามารถดูดซึมได้ดีกว่าตอนท้องว่างจ้า

(Source : Cosmetic benefits of astaxanthin on humans subjects., Bioavailability of astaxanthin in Haematococcus algal extract: the effects of timing of diet and smoking habits., Potential health-promoting effects of astaxanthin: a high-value carotenoid mostly from microalgae., Safety of an astaxanthin-rich Haematococcus pluvialis algal extract: a randomized clinical trial., Effects of astaxanthin from Haematococcus pluvialis on human skin., Astaxanthin attenuates the UVA-induced up-regulation of matrix-metalloproteinase-1 and skin fibroblast elastase in human dermal fibroblasts.)