หนึ่งในแบรนด์ที่เรารู้จักมานานแต่พึ่งจะได้ลองใช้และมีผลิตภัณฑ์ที่เราชอบได้ไม่นานอย่าง  AESOP (เอ-สอป) แบรนด์สัญชาติออสเตรเลียตอนนี้เขาเข้ามาปักฐานเปิดกิจการในบ้านเรากันแล้วและหลายคนที่เรารู้จักก็ตื่นเต้นกันมากที่จะไม่ต้องหิ้วมาจากต่างประเทศกันให้เมื่อยตุ้ม

จุดเริ่มต้นที่ทำให้ได้รู้จักกับแบรนด์นี้คือพี่สาวที่สนิทมากนางเคยเป็นนักเรียนอยู่ที่ออสเตรเลียและนางชอบผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดผิวหน้าตัวหนึ่งของแบรนด์นี้มาก และด้วยความที่นางก็รู้ว่าเราถูกจริตกับอะไรแบบไหนนางก็มั่นใจมากว่าเราจะต้องกรี๊ดกับตัวนี้ แต่จนแล้วจนรอดเราก็ไม่ได้ลองซะทีเพราะว่ามันหาซื้อง่ายซะที่ไหน จนกระทั่งเมื่อช่วงกลางปีก่อนเวปที่เราสั่งของมีส่งโค้ดลดราคาถล่มทลายมาให้เราก็เลยตัดสินใจลองสั่งมาดูว่ามันจะดีอย่างที่เขาว่าจริงรึ? และนั่นคือเป็นจุดเริ่มต้นระหว่างเรากับ AESOP

AESOP Products

AESOP เป็นแบรนด์ที่มีตัวตนชัดมากแบบว่าเห็นขวดจากไกล ๆ หรือเห็นแถบและโทนสีของฉลากเรารู้เลยว่านี่คือ AESOP มันเรียบง่าย ไร้ซึ่งเพศและอายุ และไม่ว่าจะเอาไปวางตรงไหนในในห้องน้ำ บนโต๊ะเครื่องแป้ง ก็ดูเข้ากันได้ราวกับเป็นของประดับห้องนั้นอีกหนึ่งชิ้นเลยล่ะ

Aesop Paragon

สิ่งที่เราค่อนข้างประหลาดใจหลังจากที่ได้ทำความรู้จักกับแบรนด์นี้มากขึ้นคือการที่ร้านของ AESOP ในแต่ละแห่งจะไม่มีที่ไหนเหมือนกันเลย ทุกร้านจะถูกออกแบบให้ต่างกันและมีเอกลักษณ์โดดเด่นไม่เหมือนใคร ซึ่งนี่เป็นสิ่งที่แตกต่างโดยสิ้นเชิงกับการสร้างแบรนด์เครื่องสำอางที่ทุกร้านจะมีคอนเซปต์และการตกแต่งในแบบเดียวกันจะผิดเพี้ยนมิได้ซึ่งเป็นวิถีที่ทั้งโลกมักทำกัน

แนวทางในการสื่อสารและโฆษณาผลิตภัณฑ์ก็ต้องบอกว่า “ติ๊สแตก” มาก ลืมไปได้เลยกับคำพูดสวยหรูหรือถ้อยคำสัญญาว่าจะเนรมิตผิวสวยดั่งฝันใน 3 วัน 7 วัน หรือภาพนางแบบสวยเพอร์เฟคไร้รูขุมขน การสื่อสารของ AESOP จะผ่านภาพนิ่ง ภาพเคลื่อนไหวที่มักไร้เสียงคำพูด แต่สื่อความหมายให้คิดตีความแบบงานศิลป์และเสียงเพลงประกอบที่ราวกับจะสะกดจิตให้เราจมไปกับภาพที่ตาเห็นลงไปเรื่อย ๆ หรือถ้าเป็นคำพูดก็เป็นเชิงปรัชญาที่ต้องมาถอดความหมาย

เอาจริง ๆ เราดูแล้วเราบางทีก็ไม่เก็ทนะว่าเขาอยากจะสื่ออะไร คือมันคงจะอาร์ทมากไปจนเราเข้าไม่ถึงในบางครั้งซึ่งเราก็จะไม่พยายามแสร้งทำเป็นเข้าใจด้วย (ซึ่งก็เป็นความอาร์ทของเราอีกเหมือนกัน) แต่เราก็มองว่ามันเป็นการสื่อสารที่แปลกดีและแตกต่างกับการทำอะไรที่มัน Mass เพื่อให้ทุกคนเข้าถึงได้แบบที่ใคร ๆ เขาทำกัน

AESOP คือตัวอย่างที่ดีของแบรนด์ที่ขาย Lifestyle อย่างจริงจัง เพราะเขาไม่ตามกระแสอะไรใด ๆ เลย ยึดมั่นในตัวตนและ DNA อย่างเหนียวแน่น ซึ่งแม้จะทำให้แบรนด์ดูไม่ได้มีความหวือหวาแต่ก็สร้างกลุ่มสาวกได้อย่างมั่นคงได้เหมือนกันนะ เราต้องเข้าใจว่าก็มีคนบางคนซื้อหรือใช้บางอย่างเพียงเพราะมันสะท้อนหรือมันบอกเล่าตัวตนของเขาออกมาได้โดยที่เขาไม่ต้องพูดมันออกมา

ในแง่ของตัวผลิตภัณฑ์นั้น AESOP ก็เหมือนกับสิ่งที่กล่าวมาข้างบนทั้งหมดแหล่ะ ไม่มีอะไรหวือหวา ไม่ได้มีเทคโนโลยีล้ำหน้าล่าสุด ใช้ส่วนผสมที่เรียบง่ายและมาจากธรรมชาติ การต่อต้านอนุมูลอิสระเพื่อเน้นให้ผิวมีสุขภาพดีจากพื้นฐาน ส่วนตัวเรามองว่าสิ่งที่ผลิตภัณฑ์ของแบรนด์นี้มอบให้คือ “ความรู้สึกดีเมื่อได้ใช้” คือไม่ได้ขายในแง่ของประสิทธิภาพที่โดดเด่นกว่าใคร แต่ขายประสบการณ์ที่ใครก็เลียนแบบไม่ได้มากกว่า

เราบอกตามตรงเลยนะว่าสิ่งที่เราชอบในผลิตภัณฑ์ AESOP ที่เราได้ลอง ไม่ใช่เพราะว่ามันมีประสิทธิภาพดีกว่าตัวอื่น เพราะเราสามารถหาตัวอื่นใช้แทนได้แน่นอน แต่สิ่งที่มัดใจเราคืออย่างที่บอก “ประสบการณ์” “ความรู้สึกเมื่อได้ใช้“

ความรู้สึกครั้งแรกตอนที่เราได้ลอง AESOP : Fabulous Face Cleanser คือกลิ่นมันหอมมาก หอมแบบไม่เคยได้กลิ่นนี้ที่ไหน หอมแบบถูกใจ มันดึงอารมณ์ที่อึนมึนในตอนนั้นของเราให้รู้สึกลอยสูงและเบาขึ้นอย่างไม่น่าเชื่อ มันคือความความสุขเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่เกิดขึ้นในห้องน้ำที่ทำให้วันแย่ ๆ ของเราดูไม่ได้เลวร้ายเท่าไหร่ อีกตัวหนึ่งที่เราลองซื้อมาใช้คู่กันคือ AESOP :  Tea Tree Leaf Facial Exfoliant ซึ่งเป็นใบของต้น Tea Tree แห้งกับเปลือกวอลนัทบดละเอียด เอามาผสมลงใน Cleanser ก็ให้กลิ่นที่เย็นหอมและเปลี่ยนอารมณ์ให้ตื่นขึ้นได้  สองตัวนี้เป็นตัวที่เราเอามาใช้ในวันที่เรารู้สึกอยากจะมีช่วงเวลาที่พิเศษกับตัวเอง ช่วงเวลาที่เราอยากรู้สึกดี ใครที่อยากลองแบรนด์นี้เราแนะนำเลยว่าสองตัวนี้เป็นตัวแรก ๆ ที่ควรหยิบมาลองเพราะมันเลิศมาก

ส่วนผลิตภัณฑ์ตัวอื่น ๆ ของแบรนด์นี้เรายังไม่ได้สำรวจและลองใช้เท่าไหร่นัก แต่ตัวที่เป็นฮีโร่ของแบรนด์ก็คือผลิตภัณฑ์ในกลุ่ม Parsley Seed ซึ่งเน้นคุณสมบัติในการให้ความชุ่มชื่นและต้านอนุมูลอิสระ ใช้ส่วนผสมของน้ำมันหอมระเหยเพื่อให้กลิ่นบำบัด และมีส่วนประกอบที่ไม่ซับซ้อนนัก แบรนด์นี้บอกส่วนประกอบทั้งหมดในเวปไซต์ด้วยซึ่งเป็นเรื่องที่ดีนะ

The Fabulist

ตอนนี้ในไทยมีสาขาเปิดที่แรกคือที่ Beauty Hall ชั้น M ของ Paragon Department Store และจะมีสาขาต่อไปที่ Beauty Gallery ชั้น 1 ของเซ็นทรัลดลาดพร้าวซึ่งจะเปิดในวันที่ 10 มิถุนายน 2016 ที่จะถึงนี้ ซึ่งทุกคนสามารถที่แวะไปทดลองกันได้ตามใจชอบเลย ส่วนเรื่องที่หลายคนกังวลอย่างราคา เท่าที่เช็คดูในไทยถือว่าทำราคาได้ค่อนข้างดี ไม่โดดจากประเทศรอบข้าง เมื่อรวมกับโปรโมชั่นของห้างเรามองว่าไม่ต้องไปหิ้วมาให้หนักกระเป๋าหรอกเนอะ

ก่อนจะจากกันไป สำหรับคนที่สกิลภาษาอังกฤษแข็งแกร่ง เราแนะนำให้คุณลองเข้าเวป Aesop และไปอ่านในส่วนของ The Fabulist. ที่เป็นเหมือนแมกกาซีนออนไลน์ที่เขาทำขึ้นมาซึ่งเนื้อหาก็จะเกี่ยวกับแรงบันดาลใจ ผู้คน แนวคิด งานศิลปะ และวรรณกรรม ซึ่งบอกเลยว่าถ้าอินอะไรกับพวกนี้ก็น่าจะชอบเลยล่ะ และนี่คือการตอกย้ำว่า AESOP คือแบรนด์ที่ไม่เหมือนใคร แม้ดูเรียบง่ายแต่มีแนวคิดที่บางทีที่แบบ… Sophisticated อ่ะ ไม่รู้จะสรรหาคำในภาษาไทยคำไหนที่จะนิยามคำนี้ได้ครอบคลุมพอเหมือนกัน