เมื่อช่วงต้นเดือนธันวาคมที่ผ่านมา ปูเป้ได้แว่บไปงานที่สิงคโปร์เพื่อร่วมงานแถลงข่าวผลิตภัณฑ์ใหม่ของ Sulwhasoo ต่อด้วยกิจกรรมรวมบล็อกเดอร์จากทั่วเอเชียของแบรนด์ SK-II ซึ่งปูเป้ก็นำเรื่องราว สิ่งที่น่าสนใจ รวมถึงของกินอร่อย ๆ มาเขียนเล่าให้ได้อ่านกัน (ใครจะลองตามรอยไปหม่ำบ้างก็โอเคนะ)
เราออกเดินทางกันตั้งแต่ช่วงสาย ๆ ไปถึงที่สิงคโปร์ก็เป็นเวลาอาหารเที่ยงพอดี แต่เราต้องเอากระเป๋าไปเก็บไว้ที่พักก่อน ที่พักของเราในคราวนี้คือ โรงแรม St.Regis ซึ่งหรูม๊ากกกก
เอากระเป๋าไปเก็บ ยังไม่ทันได้เชยชมความงามของห้อง เราก็แวะมาที่ห้าง Paragon บนถนน Orchard เพื่อทานอาหารกลางวันที่ร้าน Din Tai Fung (มีสาขาในไทยที่ CTW ล่ะ)
รสชาติโดยรวมถือว่าดี เมนูที่ควรทานคือพวกเกี๊ยว ซาลาเอา และเสี่ยวหลงเปา ไม่ได้แตกต่างจากที่ไทยมากนัก แต่ว่าผักอร่อยกว่าหน่อย เอาเป็นว่าใครที่สนใจ ไปกินที่ CTW ก็ได้ครับ ไม่ต่างกันมากนัก
พอทานเสร็จเราก็ได้เดินเล่นในห้างกันแปปนึงก่อนจะกลับมาพักผ่อนที่โรงแรม ระหว่างนี้เองที่ได้ทำการสำรวจห้อง และปลาบปลื้มกับห้องน้ำมาก สวยงาม เลิศหรู ที่สำคัญ ฝักบัวใน Shower Room มีลูกเล่นหลายอย่าง มีปรับให้ฉีดจากแนวระนาบได้ด้วย เลิศที่ซู๊ด อยากได้แบบนี้ที่บ้านบ้าง
อาการเย็นในวันแรกนี้เรามากันที่ร้าน No Signboard ในห้าง Esplanade เป็นร้านที่มีชื่อเสียง (แต่การบริการอาจจะไม่ดีเท่าไหร่) เมนูที่ควรลองคือ Crispy Cereal ซึ่งเป็นเมนูกุ้งทอดโปะด้วยซีเรียลขยำกับเนย ทอดจนกรอบ เป็นอะไรที่แปลกดี รสของซีเรียลทอดเหมือนกินขนมหอมนมเนย อร่อยแต่ว่าอมน้ำมันไปนิด แอบเลี่ยนหน่อย ๆ แต่คิดว่าควรลองเพราะหาทานในไทยไม่ได้ (มั้ง) ซี่โครงหมูผัดกาแฟก็อร่อยดี หอมกาแฟมาก ๆ แต่ก็แอบเลี่ยนนิดนึงเหมือนกัน
อีกเมนูขึ้นชื่อของที่นี่ก็คือ Chilli Crab ซึ่งปูตัวใหญ่มากกกกก ก้ามใหญ่เท่าฝ่ามือ รสไม่ได้เผ็ดอะไรเท่าไหร่ แต่แอบกินยากนิดนุง (โดยเฉพาะกับคนที่แกะปูไม่เป็น) ทางร้านจะมีชามน้ำฝานมะนาวกับผ้ามาให้เช็ดมือด้วย ทานเมนูนี้คู่กับหมั่นโถวทอดนุ่ม ๆ ก็ฟินใช้ได้จ้า เมนูอาหารอื่นๆ โดยรวมจัดว่าใช้ได้นะ แต่ยังไม่เทพ หรืออร่อยจนแสงพุ่ง น้ำตาไหล
หลังจากอิ่มแล้วก็เดินทางกลับโรงแรมเพื่อพักผ่อนก่อนจะเจอกับงานในวันพรุ่งนี้ กลับถึงห้องปุ๊ปก็เจอกล่องของขวัญจาก Sulwhasoo วางอยู่บนเตียง ข้างในเป็นผ้าพันคอล่ะ เตียงที่นี่ดีมาก ดูดวิญญาณสุด ๆ นอนแล้วแทบไม่อยากตื่นเลยล่ะ
หลังจากทานข้าวเช้าที่โรงแรม พักผ่อน ก็ได้เวลาทานอาหารเที่ยง เรามากันที่ Marina Bay Sand เพื่อทานอาหารในร้าน Pizzeria MOZZA เป็นร้านพิซซ่าและอาหารอิตาเลี่ยนที่มีเพียงสามสาขาในโลกเท่านั้น เมนูที่ได้ลองทาน เป็นดอกกะหล่ำชุบแป้งทอดทานคู่กับดิฟซอส ดูเรียบง่ายแต่ว่าอร่อยจังเลย
พิซซ่าที่นี่อร่อยมาก แป้งนอกกรอบ แต่ก็มีความหนึบหนับข้างใน เครื่องที่ใช้ก็เป็นของคุณภาพดีจ้า
หลังจากนั้นเราก็กลับมาที่โรงแรมเพื่อชมงานเปิดตัวผลิตภัณฑ์ Sulwhasoo Snowise EX ซี่งมีสื่อมวลชนจากหลายประเทศในเอเชียเข้าร่วมด้วย
รายละเอียดผลิตภัณฑ์นั้น ปูเป้ได้มีการรีวิวเอาไว้ให้โดยละเอียดแล้ว สามารถคลิกดูได้ที่ [Deep-Review] Sulwhasoo : Snowise EX
หลังจากรับฟังข้อมูล และสัมภาษณ์กับนักวิทยาศาสตร์ของ Sulwhasoo แล้ว เราก็มีเวลาในการเตรียมตัวสำหรับงาน Gala Dinner ในตอนเย็น ซึ่งปกติแล้วปูเป้จะไม่ค่อยร่วมงานที่เป็นทางการแบบนี้เท่าไหร่ จึงต้องตัดชุดสูทเพื่องานนี้โดยเฉพาะเลยล่ะ ดูแปลกตา ไม่ค่อยชิน แต่ว่าทุกคนบอกว่าดูดีก็รู้สึกดีใจนะ
งานกาล่าในครั้งนี้เป็นการประกาศวิสัยทัศน์ของเครือ Amore Pacific ในการเป็นผู้นำความงามตามแบบฉบับของเอเชียไปสู่ผู้หญิงทุกคนบนโลกกว้างใบนี้ รวมถึงแนวทางในการขยายตลาดมายังประเทศในแถบเอเชรียตะวันออกเฉียงใต้ด้วย
ในปี 2013 นี้ จะมีแบรนด์จาก Amore Pacific มาทำตลาดในประเทศไทยรวมเป็น 3 แบรนด์ นั่นก็คือ Laneige กับ Sulwhasoo และจะมีน้องใหม่อย่าง Mamonde สำหรับตลาด Premium Mass ด้วย
หลังจากเสร็จสิ้นงานทั้งหมดนี้ ทุกคนก็แยกย้านกันกลับไปพักผ่อน วันรุ่งขึ้นเป็นวันอิสระ ก็แยกย้ายกันไปช็อปปิ้งก่อนจะเดินทางกลับประเทศไทย ซึ่งปูเป้ก็หอบเอาข้าวโพดคุ่ว Garrett กลับมาฝากเพื่อน ๆ พี่ ๆ ที่สนิทกันด้วย
แต่ไม่มีเวลาให้นั่งชื่อชมของที่ช็อปปิ้งมาเท่าไหร่ ก็ต้องรีบจัดกระเป๋าใหม่อีกใบ อาบน้ำ นอน เพราะวันรุ่งขึ้นก็ต้องบินกลับไปสิงคโปร์อีกแล้วจ้าาาาาาา
เช้าวันต่อมา ปูเป้ไปเจอกับพี่มด CinnamonGal และคุณกิ๊กจากทาง P&G เพื่อเดินทางไปร่วมงานของ SK-II สิงคโปร์ แอบเติมพลังด้วยครัวซองค์ชีสกับคาราเมลแฟรปูชิโน่ของแมงดาว (Starbucks) ก่อนบินสักหน่อย
ที่พักในคราวนี้ก็เป็น St.Regis อีกแล้ว (ไม่รู้มาก่อนจริง ๆ นะ) แต่คราวนี้ได้ห้องที่เป็นเตียงคิงไซส์ ใหญ่สะใจ นอนกลิ้งสบาย ๆ ในห้องน้ำก็มีชุดบำรุงผิวจาก SK-II มาให้ใช้ด้วยล่ะ
ก่อนที่จะถึงงานในช่วงเย็น เราก็แวะมาที่ห้าง ION บนถนน Orchard ซึ่งเป็นห้างที่ค่อนข้างใหญ่ทีเดียว และมีทุกอย่างเกือบครบที่นี่เลย ลองทานร้านชานมไข่ทุกที่มีคนต่อแถวเยอะ ๆ อยู่ร้านนึง ร้านนี้จะใช้คอนเซปต์ของการชงชา โดยแช่ถุงชาทีละแก้ว ทำให้ได้ความสด ความหอม รสหวานน้อย ซึ่งอาจจะไม่ถูกปากคนไทยที่ชอบรสหวานจัด
ระหว่างรอรถมารับ ก็มาทานชาและของหวานที่ร้าน TWG กับเมนูที่เป็น Signature ของร้าน เป็นแป้งทาร์ต ใส่สตรอว์เบอรี่ป่า โปะทับด้วยคัสตาร์ โรยน้ำตาลและเผาจนเป็นคาราเมลกรอบ ๆ บนหน้าแบบ Creme Brulee ซึ่งอร่อยม๊ากกกก ส่วนตัวรู้สึกว่าเมนูนี้ทำได้อร่อยกว่าที่ TWG ในไทย เพราะมีความหอมและครีมมี่กว่า
หลังจากนั้นเราก็ออกมานอดตัวเมืองนิดหน่อย ไปยัง SK-II Spa สาขาใหม่ล่าสุด ที่นี่ SK-II จะไม่มีบริการนวดหน้าที่เคาน์เตอร์ แต่จะมีการเปิดสปาแยกออกมาต่างหาก จากความเข้าใจ สปานี้ไม่ได้บริการงานโดย P&G แต่เจ้าของสปาได้มีการติดต่อเพื่อใช้ผลิตภัณฑ์ของ SK-II สำหรับการทำทรีตเมนต์ และต้องมีการบริการที่ผ่านมาตรฐาณจาก SK-II ด้วย
จากประสบการณ์ที่ได้รับที่นี่ เทียบกับการนวดหน้าที่เคาน์เตอร์ของไทย มีสิ่งที่แตกต่างกันดังนี้
อย่างแรกเลยคือพื้นที่ของ SK-II Spa มีความเป็นสัดส่วนกว่า โล่งสบาย และเงียบ มีความเป็นส่วนตัวมากกว่า อุปกรณ์ที่ใช้มีสิ่งที่พิเศษเพิ่มขึ้นมาก็คือเครื่อง Ultra Sonic ที่ใช้ในขั้นตอนการผลัดเซลล์ผิว และเอามาวนหลงจากแปะมาส์กเพื่อช่วยให้สารบำรุงแทรกซึมลงไปบนผิวได้ดีขึ้น
อีกสิ่งหนึ่งที่แตกต่างกันคือ SK-II จะมีการทำ Extraction หรือการกดสิว รวมถึงทำความสะอาดรูขุมขนบริเวณจมูกด้วย (เป็นการใข้มือ ในการบีบจมูกด้วยเทคนิคเฉพาะเพื่อนำไขมันในรูขุมขนออกมา) ส่วนของไทยจะเป็นการใช้เครื่องดูดสิวเสี้ยนแทน
สนนราคาในการทำทรีตเมนต์แต่ละครั้งก็แพงอยู่ล่ะ แต่เขาบอกว่าสาว ๆ สิงคโปร์ก็ใช้บริการกันจนต้องจองล่วงหน้าตลอด และที่สิงคโปร์นี้ SK-II เป็นแบรนด์เครื่องสำอางอันดับหนึ่งในระดับ Prestige ด้วยนะ
หลังจากนั้นเราก็มาทานข้าวเย็นที่ร้าน Crystal Jade ที่หมูกรอบ และหมูแดงก็อร่อยมาก เมนูอื่นๆ ก็ใช้ได้ครับ ส่วนเป็ดปักกิ่งทานที่ไทยอร่อยกว่า…
ก่อนนอนคืนนี้ แอบซื้อ Bath Bomb จาก Sephora มาใส่อ่างอาบน้ำซะหน่อย แต่กลิ่นไม่เยอะอย่างที่คิดล่ะ แอบเสียดายตัง
ในตอนเช้าของวันรุ่งขึ้น เป็น workshop สำหรับ Blogger จากทั่วเอเชีย ไม่ว่าจะเป็นเกาหลี ฮ่องกง สิงคโปร์ มาเลย์ และจากไทยก็มีปูเป้และพี่มดเป็นตัวแทนเข้าร่วมในครั้งนี้
จุดประสงค์หลักในการจัดกิจกรรมครั้งนี้ขึ้นเพื่อสื่อสารให้กับ Blogger ได้เข้าใจถึงการศึกษา วิจัย ของ SK-II ที่เรียกว่างานวิจัย Akita ซึ่งทำการศึกษาความเปลี่ยนแปลงของผิวของผู้ทดสอบ 100 คน ในระยะเวลา 10 และนำผลของการศึกษานี้มาพัฒนาระบบตรวจวัดคุณภาพผิวทั้ง 5 มิติของ SK-II ซึ่งปูเป้เคยให้ข้อมูลไว้แล้วเมื่อคอนเซต์นี้ถูกนำเสนอเป็นครั้งแรก (สุขภาพผิว 5 มิติของผิวสวยกระจ่างใสแบบ SK-II)
หลังจากจบการบรรยาย ก็ต้องมีการชักภาพหมู่ร่วมกันเป็นที่ระลึกมื้อกลางวันของวันนี้เรามาฝากท้องที่ร้าน Imperial Treasure Super Peking Duck บนชั้น 5 ของร้าน Paragon เมนูติ่มซำเหมาะที่จะทานตอนกลางวันเป็นที่สุด เมนูพายหมูแดงทำได้อร่อยมาก ส่วนซาลาเป้าไส้ไหลนั้นหวานไปนิด (กินทีฮ่องกงอร่อยกว่า) เมนูโดยรวมถือว่ารสชาติดีครับ
ช่วงบ่ายเรามารวมตัวกันที่เคานืเตอร์ SK-II ในห้าง TANGS ที่พึ่งทำการ Renovate เสร็จใหม่ ๆ นี่เป็นเคาน์เตอร์ SK-II คอนเซปต์ใหม่ที่แรกในแถบนี้ โดยรูปแบบของเคานืเตอร์จะถูกแบ่งเป็นส่วนต่าง ๆ สำหรับผู้ที่อยากจะทดลองผลิตภัรฑืด้วยตัวเองก็จะมีมุมให้ทดลองใช้ พร้อม iPad ที่มีข้อมูลผลิตภัรฑ์ให้ครบถ้วน เล่นได้ตามใจไม่มีใครมารบกวน หรือถ้าต้องการการบริการเต็มรูปแบบ ก็ไปอีกมุมหนึ่งซึ่งจะมี BA คอยให้คำแนะนำนั่นเอง
เคาน์เตอร์รูปแบบใหม่นี้น่าจะเข้ามาในไทยในปีนี้แหล่ะ (และสาขาแรกที่เปลี่ยนน่าจะเป็นเซ็นทรัลลาดพร้าว ไม่ก็พารากอน เพราะว่ากำลังรีโนเวทอยู่)
ถ่ายรูปร่วมกันเป็นที่ระลึกอีกครั้งก่อนแยกย้ายกันกลับบ้านมีเวลาอีกนิดหน่อย แวะเดิน Watson เจอมาส์ก Rilak Kuma น่ารักมาก เลยซื้อมาเก็บไว้ (และซื้อฝากเพื่อน) ระหว่างเดินกลับโรงแรมเจอร้านขายไอติม แวะหยิบ Magnum Gold มาลองทาน แท่งละประมาณ 120 บาท หวานเกิน ห่วย เสียดายตัง… กลับมากินแท่งละ 40 บาทรส Dark Choc ที่บ้านเราดีกว่า…
จริงๆ แล้วจะอยู่พักต่ออีกคืนก็ได้ แต่พอดีว่าปูเป้ต้องกลับมาสอน Workshop ให้กับอีกแบรนด์ในวันรุ่งขึ้น จึงต้องกลับเลย แอบเกรงใจที่ทำให้พี่มดกับคุณกิ๊กก็ต้องรีบกลับตาม แต่ถึงจะเป็นทริปสั้นๆ แต่ก็สนุกมาก อาจจะเพราะไปกันน้อยคน ไปกับคนที่สนิท ก็เลยรู้สึกเอนจอยกะทริปเป็นพิเศษ
สุดท้ายแล้วปูเป้ก็ต้องขอขอบคุณ Sulwhasoo และ SK-II ที่มอบโอกาสให้ปูเป้ได้ไปร่วมประสบการณ์ดี ๆ แบบนี้นะครับผม