ปีนี้เป็นปีแรกที่ปูเป้ทำลิสต์ผลิตภัณฑ์ที่ตัวเองชื่นชอบออกมาให้ชมกัน หวังว่าจะชอบนะฮะ
ในกระทู้ก่อนได้บอกไปแล้วว่าทำไมปูเป้ถึงได้ชอบ Hada Labo แต่จะเล่าให้ฟังอีกแบบคร่าว ๆ ละกัน

ที่ชอบเพราะว่ามันค่อนข้าง Basic มากในแง่ของส่วนประกอบ แต่ก็ให้ความชุ่มชื้นกับผิวได้ดี (การที่ส่วนผสมเบสิค จะลดความเสี่ยงที่จะเกิดอาการแพ้ได้ แต่ยังไงก็มีโอกาสแพ้ได้อยู่ดีจ้า) ไม่มีส่วนผสมที่ก่อการระคายเคืองกับผิว หลัก ๆ ผมจะเอามาทำเป็น Mask หน้าโดยใส่กับสำลีหรือแผ่นมาส์กสำเร็จรูปแล้วแปะหน้าไป 10 – 15 นาทีในตอนเย็น

แต่หลังจากกระทู้ลงไป คนก็แห่กันไปซื้อใช้ แล้วก็มีคำถามหลายคำถามยิงกลับมาอย่างไว ซึ่งขอตอบให้ตรงนี้ละกัน

Q : ทำไมใช้แล้วแพ้ ไหนบอกว่าเหมาะกับผิว Sensitive Skin?

A : ผิว Sensitive คือผิวที่ไวต่อการระคายเคืองครับ ตัวนี้ไม่มีสารที่ระคายเคืองผิว (Irritation) แต่ถ้าเป็นเรื่องอาหารแพ้ (Allergic) นั้นไม่มีใครยืนยันได้ครับว่าจะไม่แพ้แน่นอน อาการแพ้เป็นสิ่งที่แตกต่างกันไปในทุก ๆ คน ต้องไปทดสอบกันเองจ้า

Q : ทำไมใช้แล้วสิวอุดตันขึ้น ไหนว่าเนื้อบางเบา

A : การเพิ่มอะไรเข้าไปบนผิว โดยไม่ปรับลด Regimen ของตัวเองลงให้สมดุลเลย ก็ไม่ได้จ้า คือถ้าสมมุติปกติบำรุงผิว 7 ขั้นตอนซึ่งเต็มอยู่แล้ว เอาไอ้นี่ไปโปะเพิ่มโดยไม่ลดอะไรเลยมันก็อาจจะหนักหน้าเกินไป อาจจะทำให้เกิดการอุดตันได้ ดังนั้นถ้าเอาอะไรเพิ่มเข้าไป ก็ต้องมีการปรับลดอะไรบางอย่างลงเพื่อให้โดยภาพรวมแล้วมันไม่ “เยอะ” หรือ “ล้น” จนเป็นภาระของผิวนั่นแล

และวิธีการใช้ก็สำคัญ อย่าทำเยี่ยงอย่างนางแบบในโฆษณาที่ตบหน้าป๊าป ๆ ๆ เด็ดขาด ให้ใช้การ “ประคบ” ผิวอย่างเบามือ ตบหน้าแรงผิวก็ระคายเคือง สิวอุดตันที่มีอยู่อาจอักเสบได้ซ้ำอีกจ้า

Hada Labo : Super Hyaluronic Acid Moisturizing Lotion (170ml / 495 THB)

Ingredients : Water, Butylene Glycol, Glycerin, Disodium Succinate, Methylparaben, Sodium Hyaluronate, Hydroxyethylcellulose, Succinic Acid, Hydrolyzed Hyaluronic Acid, Sodium Acetylated Hyaluronate.

Hada Labo : Arbutin Whitening Lotion (170ml / 495 THB)

Ingredients : Water, Dipropylene Glycol, Glycerin, Arbutin, Betaine, PPG-10 Methyl Glucose Ether, Styrene/VP Copolymer, Disodium Succinate, Methylparaben, Tremella Fuciformis Polysaccharide, Succinic Acid, Sodium Hyaluronate, Magnesium Ascorbyl Phosphate.

อันนี้เป็นอะไรที่ชอบทั้งสองอันจนไม่รู้จะเลือกอันไหนดี เอาเป้นว่าชอบมันเท่าๆ กันก็เลยเอามาทั้งคู่เลยละกัน

Biotherm : Skin.Ergetic – Signs of Fatigue Repairing Concentrate (50ml / 2,500THB) เป็นเซรั่มที่ปูเป้กรี๊ดมาตั้งแต่กลางปี สั่งมาลองเล่นตั้งแต่ยังไม่ขายในไทย เป็นไอเทมตัวแรกของ Biotherm ที่รู้สึก “อิน” กับแบรนด์นี้จริงจัง เพราะปกติแล้วไม่ชอบกลิ่นของเครื่องสำอางแบรนด์นี้เท่าไหร่ แต่ตัวนี้หอมม่วกกกกกกกก

เป็นเซรั่มแอนติออกซิแดนท์มที่สดดี เนื้อสัมผัสเยี่ยม ปราศจากซิลิโคน และให้ความชุ่มชื้นเบา ๆ ปูเป้ใช้เซรั่มตัวนี้ ตามด้วยเซรั่มอื่นๆ ที่ต้องการอีกสักตัว แล้วก็แทบไม่ต้องใช้มอยซ์เจอร์ตามในตอนกลางวันแล้ว ทากันแดดเนื้อครีมตามก็เป็นอันเสร็จ (แต่ใครที่ผิวแห้ง มีลอก ก็ต้องทามอยซ์เจอร์ตามไปอยู่ดีนะ)

ตัวนี้มีรีวิวละเอียดยิบในบล็อกแล้ว ทั้งข้อดีข้อเสีย ไปตามอ่านกันเอง “คลิกที่นี่” ละกันถ้าสนใจ

อีกตัวก็คือ Clinique : Turnaround Concentrate Radiance Renewer (30ml / 2,200 THB – 50ml / 2,850 THB) ซึ่งปูเป้จะบอกเสมอว่า Turnaround Concentrate สูตรเก่าเป็นเซรั่มที่ดี แต่อย่าคาดหวังว่ามันจะผลัดเซลล์ผิวได้ดี เพราะว่าค่า pH ของมันอยู่ประมาณ 4.5 – 5 ทำให้ BHA ที่ใส่มานั้นไม่ work แต่ก็ยังเป็นผลิตภัณฑ์ที่ดีเพราะอุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระมากมาย และเนื้อบางเบา

ทว่าทุกอย่างก็เปลี่ยนไป เมื่อรุ่นใหม่ที่พึ่งวางจำหน่ายเมื่อเดือนตุลาคมที่ผ่านมานี้ (แต่ปูเป้ได้มาลองตั้งแต่ช่วงกลางปีแล้วล่ะ) เป็นการอัพเกรดครั้งสำคัญเลยล่ะ!!! เพราะรุ่นใหม่นี้มีการเพิ่มส่วนผสมของ PHA (Lactobionic Acid) ซึ่งเป็นสารผลัดเซลล์ผิวกลุ่ม AHA แบบใหม่ ที่อ่อนโยนกว่า AHA เพราะว่ามีขนาดโมเลกุลใหญ่กว่า และมีคุณสมบัติเป็นแอนติออกซิแดนท์ด้วย และที่สำคัญที่สุดคือมีค่า pH อยู่ที่ประมาณ 3.8 – 4.0 ซึ่งทำให้ผลิตภัณฑ์ตัวนี้สามารถผลัดเซลล์ผิวได้โดยไม่มีข้อกังขา

เนื้อสัมผัสถูกปรับปรุงใหม่ให้ดียิ่งขึ้น จากเดิมที่เคย Matte แบบแห้ง ๆ แป้ง ๆ แต่ตัวนี้เนื้อสัมผัสจะรู้สึกชุ่มในตอนแรก เกลี่ยง่ายและเริ่มแห้งเนียนไปกับผิว ไม่มันวาว แต่ก็ดูไม่แห้งจนเกินไป ส่วนผสมโดยรวมยังมีแอนติออกซิแดนท์และตัวลดการระคายเคืองมาให้อีกเยอะเช่นเคย

ไม่มีอะไรจะติ นอกจากใครจะโชคร้าย “แพ้” พอดี และเนื้อสัมผัสแบบซิลิโคนนี้อาจจะไม่เข้ากับผลิตภัณฑืที่ใช้ร่วมกันบางอย่าง อาจเป็นขุยได้ ซึ่งเป็นเรื่องปกติที่พบได้ทั่วไปในผลิตภัณฑ์อื่นเช่นกัน ก็ต้องไปลองกันเอาเองจ้า

Ingredients : Water/Aqua/Eau, Cyclopentasiloxane, Dimethicone, Polysilicone-11, Lactobionic Acid, Morus Nigra (Mulberry) Root Extract, Scutellaria Baicalensis Root Extract, Castanea Sativa (Chestnut) Seed Extract, Salvia Sclarea (Clary) Extract, Vitis Vinifera (Grape) Fruit Extract, Triticum Vulgare (Wheat) Germ Extract, Hordeum Vulgare (Barley) Extract/Extrait D’Orge, Laminaria Saccharina Extract, Polygonum Cuspidatum Root Extract, Oryza Sativa (Rice) Bran Extract, Padina Pavonica Thallus Extract, Saccharomyces Lysate Extract, Acetyl Glucosamine, Caffeine, Cholesterol, Squalane, Pantethine, PEG-10 Dimethicone, Salicylic Acid, Glycerin, Ethylhexylglycerin, DI-C12-18 Alkyl Dimonium Chloride, Polysorbate 20, Isohexadecane, Butylene Glycol, Caprylyl Glycol, Tocopheryl Acetate, Polysorbate 80, Sodium Hyaluronate, Acrylamide/Sodium Acryloyldimethyltaurate Copolymer, Ammonium Acryloyldimethyltaurate/VP Copolymer, Glycyrrhetinic Acid, Sodium Hydroxide, Hexylene Glycol, Disodium EDTA, Phenoxyethanol, Titanium Dioxide (CI 77891), Iron Oxides (CI 77492), Mica (CI77499).

ใครที่ติดตามปูเป้มาตั้งแต่ 4 ปีก่อน จนถึงวันนี้ปูเป้ก็ยังคงบอกเสมอว่า “อายครีม” เป็นสิ่งที่เกินความจำเป็น… ไม่ได้หมายความว่าไม่ต้องทาอะไรรอบดวงตา เพียงแต่ถ้าคุณมีครีมทาหน้าที่มีส่วนผสมดี อ่อนโยน และมีเนื้อเหมาะกับผิวรอบดวงตา ก็เอามาทาได้

แต่ในบรรดา Eye Cream ที่ลองมา ก็มีบางตัวมที่คิดว่าโอเคแล้วนะ แต่ล่าสุดได้มาเจอ StriVectin-SD™ : Eye Concentrate for Wrinkles (30ml / 2,700 THB) ก็บอกเลยว่า ตัวนี้ “เลิศ” ที่สุดเท่าที่ลองใช้มาแล้ว

อย่างแรกเลยปูเป้เป็นคนที่ไม่ได้มีปัญหาเรื่องริ้วรอย (เพราะป้องกันมาดี ทากันแดดและสวมแว่นกันแดดประจำ) แต่การทาอายครีมตัวนี้สัก 3 – 4 สัปดาห์ จะทำให้เริ่มสังเกตุได้ชัดเจนเลยล่ะว่า Texture หรือเนื้อผิวรอบดวงตา โดยเฉพาะใต้ตา จะดูเรียงตัวเป็นระเบียบ และแน่นขึ้น และช่วงหางตาซ้ายของปูเป้มีจุดด่างดำอยู่ ตัวนี้ก็ทำให้มันค่อย ๆ จางลงด้วย (ไม่ได้หายไปหมด แต่จางลงจนสังเกตุได้) เนื้อครีมก็เข้มข้นในแบบที่ชอบ

มีส่วนผสมของ Myristyl Nicotinate ภึง 7.5% กับเปปไทด์หลายชนิด เซราไมด์ สารที่ช่วยเสริมความแข็งแรงของชั้นบิริเออร์ของผิว และอีกเยอะแยะจนสาธยายไม่หมด

นอกจากรอบดวงตาแล้วปุเป้ยังเอามาทาบริเวณขอบจมูกที่มักจะเกิดอาการแดง ลอกได้ง่ายจากการใช้ยารักษาสิวอย่าง Differin / Retin-A หรือพวกกรดต่าง ๆ เพราะเห็นว่ามีการทดสอบนึงที่ระบุว่า Myristyl Nicotinate จะช่วยลดผลกระทบจากความแห้งกร้าน ลอกจากการใช้พวกกรดวิตามินเอได้ (Source : Effect of myristyl nicotinate on retinoic acid therapy for facial photodamage.) ซึ่งก็ได้ผลดีอยู่นะ ไม่ลอกแล้ว (ควบคู่กับการปรับใช้ตัวยา ให้มีความถี่และปริมาณที่เหมาะกับผิว)

ทว่ามันก็ไม่ได้สมบูรณ์แบบหรอก มันมีส่วนผสมของ Fragrance Component อยู่ด้วย แต่ในปริมาณที่ไม่มาก และปูเป้ก็ไม่ได้มีอาการแพ้จากการใช้จนเกือบหมดหลอดแล้วแต่อย่างใด จึงเป็นอายครีมที่ปูเป้บอกได้เต็มปากเลยว่าเลิฟที่สุด

ราคาอาจจะดูสูงหน่อยนะ เหมือนเป็นการลงทุนที่มากอยู่ ตั้ง 2,700 บาท แต่อย่าลืมว่าปริมาณของมันคือ 30 ml ซึ่งก็เยอะกว่าอายครีมทั่วไปกว่าเท่าตัว (ถ้าหารมาให้เท่ากับ 15ml เท่ากับอายครีมทั่วไปก็เหลือ 1,350 บาทเองจ้า)

PS. มีขายที่พารากอนนะฮะ มี Sample ซอง ๆ ให้เอามาลองใช้ด้วยแหล่ะ

Ingredients : Aqua (Water, Eau), Myristyl Nicotinate, Cyclopentasiloxane, Caprylic/Capric Triglyceride, Glycerin, Isocetyl Stearate, C12-15 Alkyl Benzoate, Glyceryl Stearate, PEG-100 Stearate, Pentylene Glycol, Myristyl Myristate, Dimethicone, Butylene Glycol, Ethylene/Acrylic Acid Copolymer, Squalane, Caffeine, Bisabolol, Panthenol, Algae Extract, Ceramide 2, Malus Domestica Fruit Cell Culture Extract, Pullulan, Resveratrol, Urea, Sodium PCA, C20-40 Pareth-10, Hydrolyzed Hyaluronic Acid, Hydroxyethyl Behenamidopropyl Dimonium Chloride, Trehalose, Lecithin, Tetrapeptide-21, Dipeptide-2, Palmitoyl Tetrapeptide-7, Palmitoyl Oligopeptide, Phospholipids, Chrysin, Cucumis Sativus (Cucumber) Seed Oil, Rosa Damascena Flower Extract, Sodium Hyaluronate, Lepidium Sativum Sprout Extract, N-Hydroxysuccinimide, Cetearyl Alcohol, Arachidyl Alcohol, Caprylyl Glycol, Acrylamide/Sodium Acryloyldimethyltaurate Copolymer, Polymethyl Methacrylate, Behenyl Alcohol, Arachidyl Glucoside, Benzyl Alcohol, Xanthan Gum, Polysorbate 80, Ceteth-10 Phosphate, Dicetyl Phosphate, Steareth-20, Synthetic Wax, Aminomethyl Propanol, Polyquaternium-67, Triacetin, Ethylhexylglycerin, Polyquaternium-51, Benzoic Acid, Sorbic Acid, Isopropyl Myristate, 2-Isobutyl-4-Methyltetrahydro-2h-Pyran-4-ol, Alpha-Isomethyl Ionone, cis-3-Hexenyl Salicylate, Methyldihydrojasmonate, Phenethyl Alcohol, Hexamethylindanopyran, Hesperidin Methyl Chalcone, Potassium Sorbate, Tetrasodium EDTA, Phenoxyethanol, Isohexadecane, Chlorophenesin, BHT, CI 77019 (Mica), CI 77891 (Titanium Dioxide), CI 77489, CI 77491, CI 77492, CI 77499 (Iron Oxides)

“การมีผิวแข็งแรง ไม่จำเป็นต้องจ่ายแพงเสมอไป” เป็นสิ่งที่ปูเป้อยากให้ทุกคนจำให้ขึ้นใจเลยนะ

หลังจากที่ได้พูดคุยแลกเปลี่ยนความเห็นกันในกลุ่มคนรัก skincare ปูเป้ก็เริ่มทดสอบกับตัวเองและมั่นใจว่า ถ้าคุณอยากมีผิวที่ดูเด้ง เต่ง ใส ไม่มีปัญหาผิวจุบจิบกวนใจ คุณต้องให้ความสำคัญกับเรื่องของ Skin Barrier หรือชั้นบาริเออร์ของผิวนั่นเอง

ความแข็งแรงของผิวชั้นนอกเป็นสิ่งสำคัญที่เรามักมองข้ามไป ทั้งทีจริงๆ แล้วผิวของเราเจอแต่ปัจจัยที่ทำลายให้ผิวชั้นนอกเกิดความเสียหายขึ้นตลอด เริ่มตั้งแต่การใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดที่แรงเกินไป การขัดถูผิวหน้าที่มากเกินไป ใช้แรงกดมากเกินไป ใช้ผลิตภัณฑืที่มีสารก่อการระคายเคืองผิว

ดังนั้นจึงจำเป็นอย่างยิ่งที่เราจะต้องใช้ส่วนผสมที่ช่วยเข้าไปเสริมความแข็งแรงของ Skin Barrier อย่างพวก Ceramide – Cholesterol – Hyaluronic Acid – Phospholipid เป็นต้น ซึ่งสารเหล่ามีอยู่ในผิวที่แข็งแรงอยู่แล้วตามธรรมชาติ

CeraVe : Facial Moisturizing Lotion PM (89 ml / 12.99 US$) ตัวนี้ปูเป้สั่งมาจากเวปในอเมริกา (ไม่มีขายในไทย) ในช่วงลดราคาเหลือแค่ 10$ เท่านั้น ในเนื้อโลชั่นที่ให้ความชุ่มชื้นได้ดี ไม่หนักผิว (แต่ก็ไม่ Matte นะจ๊ะ) เหมาะกับทุกสภาพผิวแม้แต่ผิวเป็นสิวก็ตาม มีส่วนผสมของ Ceramide ถึงสามชนิด กับ Hyaluronic Acid และ Cholesterol ที่ช่วยเสริมความแข็งแรงให้กับผิวชั้นนอก Phytosphingosine ช่วยลดการอักเสบและมีคุณสมบัติในการต้านเชื้อแบคทีเรียให้ผิวได้ ทีเด็ดกว่านี้คือมีส่วนผสมของ Niacinamide โดยกะได้ว่าน่าจะอยู่ที่ 2% เพราะความเข้มข้นระดับนี้มีการศึกษาแล้วว่าจะช่วยเพิ่มระดับ Ceramide ในผิวได้เมื่อใช้ต่อเนื่อง

เป็นมอยซ์เจอไรเซอร์ที่อาจจะดูไม่มีส่วนผสมที่หรูหรา หวือหวา หรือฟังดูแพงตื่นตาแต่อย่างใด แต่มันก็ทำให้ผิวของเราแข็งแรง ชุ่มชื้น ยืดหยุ่น และดูมีสุขภาพดีได้จริง ๆ ตัวนี้เลิฟมากสุด ๆ เป็นของดีราคาถูกอีกหนึ่งชิ้นที่ควรหามาลองใช้กันจ้า

Ingredients : Water (Purified), Glycerin, Capric/Caprylic Triglyceride, Niacinamide, Behentrimonium Methosulfate (and), Cetearyl Alcohol, Ceteareth 20 (and), Cetearyl Alcohol, Ceramide 3, Ceramide 6 11, Ceramide 1, Phytosphingosine, Hyaluronic Acid, Cholesterol, Dimethicone, Polyglyceryl 3 Diisostearate, Potassium Phosphate, Dipotassium Phosphate, Sodium Lauroyl Lactylate, Disodium EDTA, Methylparaben, Propylparaben, Carbomer, Xanthan Gum

สุดท้ายถ้าไม่จับมาป็น Favorite ก็คงไม่ได้ เพราะพูดถึงและแนะนำบ่อยมาผ่านทาง Facebook Page ของกระผม นั่นก็คือ Biore UV : Aqua Rich Watery Jelly SPF 30/PA+++ (90ml / 290THB) นั่นเอง

ปูเป้ใช้กันแดดตัวนี้มาเป็นสิบขวดแล้ว โดยแต่ละขวดจะมีอายุเฉลี่ยประมาณ 15 วัน และเอามาใช้ทาผิวกายอย่างเดียวเท่านั้น (จริงๆมันทาหน้าก็ได้นะ แต่ทาหน้ามีตัวอื่นที่ชอบมากกว่า)

บางคนจะมองว่าค่า SPF30 จะพอหรอ ปูเป้ขอบอกเลยว่า “พอ” ถ้าคุณทากันแดดในปริมาณที่ “มาก” ตามหลักของการทากันแดดที่เหมาะสม (1 ช้อนชา / 3ml ต่อแขนหนึ่งข้าง)

เนื้อสัมผัสที่บางเบา ทำให้การทากันแดดในปริมาณที่เหมาะสมเป็นเรื่องที่เป็นไปได้ และสามารถทำให้เราทาซ้ำในระหว่างวันได้โดยที่ไม่รู้สึกเหนียวหรือเป็นคราบเหนอะหนะรำคาญใจ (ถ้าใครกลัวเป็นคราบเหนอะหนะ หรือคิดว่าผิวจะสกปรกเกินไป ก็ให้เอาทิชชู่เปียกเช็ดผิวก่อนแล้วค่อยทากันแดดทับก็ได้)

กันแดดตัวนี้เหมาะที่จะเอามาใช้ประจำวัน ไปทำงาน ไปเรียน นั้นเหมาะมาก (ส่วนถ้าทำกิจกรรมกลางแจ้ง ให้ใช้กันแดด SPF สูงกว่านี้และเป็นชนิดทนน้ำและเหงื่อด้วย) สำหรับน้อง ๆ นักศึกษาคนไหนที่ต้องย้ายตึกเรียน ตากแดดบ่อย ๆ หลายครั้งในแต่ละวัน กันแดดตัวนี้ก็มีขวดขนาดที่พกพาสะดวก เอาไปทาซ้ำได้ในระหว่่างวันเพื่อการปกป้องเต็มที่

ราคา 290 บาท และอาจมีลดราคาเหลือเพียง 220-240 บาทในบางช่วง ปูเป้จะกวาดตุนเท่าที่มีเงินพอซื้อได้เลยล่ะ

Ingredients : Water, Alcohol, Ethylhexyl Methoxycinnamate, Diethylamino Hydroxybenzoyl Hexyl Benzoate, Dimethicone, Xylitol, Phenoxyethanol, Acrylate/C10-30 Alkyl Acrylate Crosspolymer, Potassium Hydroxide, Lauryl Methacrylate/Sodium Methacrylate Crosspolymer, Fragrance, Disodium EDTA, BHT, Butylene Glycol, Propylene Glycol, Cyclopentasiloxane, Titanium Dioxde, Citus Grandis (Grapefruit) Fruit Wxtract, Polyglyceryl-3 Polydimethylsiloxyethyl Dimethicone, Sodium Hyaluronate, Agar, Behenyl Alcohol, Microcrystalline Wax, Citrus Medica Limonum (Lemon) Fruit Wxtract, Citrus Aurantium Dulcis (Orange) Fruit Extract, Polyvinyl Alcohol, Ceratonia, Siliqua Gum, Sodium Stearoxy PG-Hydroxyethylcellulose Sulfonate, Maltodextrin.

ก่อนจะจากกันไป ปุเป้ต้องขอทิ้งท้ายก่อนว่า การจะเลือกซื้ออะไรมาใช้ ให้คิดและพิจารณาถึง “ความเหมาะสม” ของตัวเองก่อนทุกครั้ง เพราะผิวของเราไม่เหมือนกัน มีปัญหาที่ต้องการแก้ไขต่างกัน แพ้และไวต่อการอุดตันไม่เท่ากัน งบประมาณและไลฟ์สไตล์ก็ต่างกัน อย่าตัดสินใจซื้ออะไรง่ายๆ เพียงเพราะคนอื่นมาบอกว่าดีอย่างเดียวนะที่สำคัญคือถ้ามี Sample ให้ลองใช้ ก็ขอมาลองใช้ซะ ย้ำมาตลอด 4 ปี ว่า Sample เป็นสิ่งที่เรา”ควร” ได้ เพราะถ้าเราจะลงทุนซื้ออะไรมาใช้ เราก็ควรจะซื้อด้วยความมั่นใจ ไม่ใช่เสียเงินไปเพื่อจะมา “เสี่ยง” อีกที

ส่วนใครซื้อของมาแล้ว ก็ให้เก็บใบเสร็จเอาไว้ อย่าทิ้ง หากเป็นของเคาน์เตอร์แบรนด์ ถ้าแพ้ก็ไปหาหมอซะ เอากล่องและตัวผลิตภัณฑืไปด้วย ให้เขาวินิจฉัยและเขียนใบรับรองแพทย์ว่าแพ้สินค้าที่ซื้อมานั่นแหล่ะ เอาหลักฐานทั้งใบรับรองแพทย์ + ใบเสร็จ ไปทำเรื่องขอเปลี่ยนหรือขอคืนกับทางแบรนด์และทางห้างได้ครับ เขามีกฏและแนวทางปฏิบัติเอาไว้อยู่แล้ว ก็ทำตามให้ถูกต้องตามนั้นว้ดีกว่าเนอะ